โควิดสายพันธุ์ผสม XE พบการระบาดในไทยแล้ว1ราย
ศูนย์จีโนมฯรพ.รามาธิบดี ตรวจพบโควิดโอมิครอนลูกผสม "XE" ในแล้ว 1 ราย หลัง WHO เตือนแพร่เชื้อได้เร็วกว่าทุกสายพันธุ์ที่เคยมี
เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2565 แฟนเพจ Center for Medical Genomics ของ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้โพสต์ข้อความว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2565 ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับโอมิครอนสายพันธุ์ลูกผสม "XE" ที่แพร่เชื้อติดต่อได้ง่ายและรวดเร็วกว่าไวรัสโคโรนา 2019 ทุกสายพันธุ์ที่เราเคยประสบมา
"XE" เป็นสายพันธุ์ลูกผสมระหว่างโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย "BA.1 X BA.2" ไม่ใช่ "เดลตาครอน" ซึ่งเป็นสายพันธุ์ลูกผสมระหว่าง "เดลตา X โอมิครอน" WHO ยังไม่ตั้งชื่อให้อย่างเป็นทางการจนกว่า "XE" จะแสดงอาการทางคลินิกที่รุนแรงแตกต่างไปจากสายพันธุ์อื่นอย่างชัดเจน
สำหรับสายพันธุ์ลูกผสม "เดลตาครอน" หรือ "XD" WHO แจ้งว่าไม่พบการระบาดที่รวดเร็ว (transmissibility) และอาการที่รุนแรง (severity) แต่ประการใด
ล่าสุด ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดีตรวจพบสายพันธุ์ลูกผสม "XE" จากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมจากตัวอย่างส่งตรวจจากผู้ติดเชื้อ ชาวไทย 1 ราย และจากตรวจกรองด้วยเทคโนโลยี "Massarray Genotyping" พบสายพันธุ์ลูกผสม "เดลตาครอน (เดลตา X โอมิครอน)" อีก 1 ราย ซึ่งต้องยืนยันด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมอีกครั้งหนึ่ง
องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนว่า Covid-19 สายพันธุ์ใหม่ XE แพร่เชื้อได้มากกว่าสายพันธุ์ BA.2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนที่แพร่เชื้อได้มากที่สุดในขณะนี้ถึง 10%
รายงานระบาดวิทยาประจำสัปดาห์ขององค์การอนามัยโลกฉบับล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมาระบุว่า Covid-19 สายพันธุ์ XE เป็นลูกผสมระหว่างโอมิครอนสายพันธุ์ BA.1 และสายพันธุ์ BA.2 หรือโอมิครอนล่องหนที่เป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดไปทั่วโลกในขณะนี้
องค์การอนามัยโลกระบุอีกว่า XE ยังคงเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนต่อไปจนกว่าองค์การอนามัยโลกจะตรวจพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของการแพร่เชื้อ ลักษณะอาการป่วย รวมทั้งความรุนแรงของโรคของสายพันธุ์ลูกผสมดังกล่าว
องค์การอนามัยโลกกล่าวว่า จะติดตามอย่างใกล้ชิดและประเมินความเสี่ยงด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับสายพันธุ์ลูกผสม เช่น XE อย่างใกล้ชิด และจะอัพเดตข้อมูลเมื่อมีหลักฐานเพิ่มเติม