posttoday

"บิ๊กโจ๊ก"ยื่นเพิกถอนคำสั่งให้ออกจากราชการเล็งฟ้องถูกปลดป้ายชื่อ

25 เมษายน 2567

'บิ๊กโจ๊ก'บุกสตช.ยื่นถอนคำสั่งออกจากราชการ แฉขบวนการ4 คูณ 100 ทำหลุดเก้าอี้ จ่อยื่นฟ้องศาลอาญาทุจริต ตั้งแต่ผู้การกองวินัย ผบช.กม. ผู้การกองสารนิเทศ - สทส.ปมปลดป้ายชื่อออกจากสำนักงาน

เมื่้อวันที่ 25 เมษายน 2567 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผบ.ตร.เดินทางมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนกับ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ผ่านสำนักงาน ก.ตร. ขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ออกจากราชการ ว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

หลังการยื่นหนังสือว่าคำสั่งให้ออกจากราชการว่าผิดกฎหมาย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่ามีขบวนการ 4 คูณ 100 สยบปีก "พระพรหม" ทำให้หลุดจากเก้าอี้ ผบ.ตร. แบ่งงานกันทำ ดังนี้ 

ขบวนการที่ 1 ชุดตรวจค้น ตระกูล 4 ต. เข้าตรวจค้น ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย
ขบวนการที่ 2 พนักงานสอบสวน ชุดคดี สน.ทุ่งมาเมฆ ไม่มีอำนาจสอบสวน ต้องส่ง DSI
ขบวนการที่ 3 พนักงานสอบสวน ชุดคดี สน.เตาปูน รู้ว่าไม่มีอำนาจสอบสวน แต่ไม่ส่ง DSI, ป.ป.ช. ภายในกำหนด เพื่อรอเวลาออกหมายเรียก-หมายจับ
ขบวนการที่ 4 ชุดรักษาราชการแทน ผบ.ตร. ตั้งกรรมการสอบสวน และให้ออกจากราชการ 

ใครทำเป็นขบวนการ และกระบวนการทำเพื่อใคร?

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า มีการไปเอาคดีเว็บพนันของ สน.ทุ่งมาเมฆ ผูกโยงตำรวจ 8 นาย แล้วไปขอหมายจับ หมายค้น ต่อมาส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. แต่แจ้งข้อหา พ.ต.อ.ภาคภูมิ คนเดียว เพราะถ้าส่งไปทั้ง 8 คน จะกลายเป็นเรื่องร้ายแรง และขอรับสำนวนกลับมา ก่อนแจ้งข้อหา พล.ต.ต. กับพวก ทำเสมือนเป็นผู้มีอำนาจสอบสวนแท้จริง ก่อนสรุปสำนวนส่งอัยการ ซึ่งอัยการพิจารณากลับมาว่าให้สอบสวนเพิ่มเติม เนื่องจากคณะฯ ไม่รายงานผลต่อ ป.ป.ช. แต่ผ่านไปกว่า 4 เดือน ก็ยังไม่มีการสอบสวนเพิ่มเติม

ต่อมามีการมีการตั้งคดีขึ้นมาใหม่ พื้นที่ สน.เตาปูน ลงบันทึกประจำวัน ว่าเว็บพนันมีเงินหมุนเวียน 400 ล้าน แต่ก็ไม่ส่งสำนวนให้ดีเอสไอ หรือ ป.ป.ช. และยังมีการแจ้งข้อหาตนเองแค่ฟอกเงิน เพราะจะไม่ต้องส่ง ป.ป.ช. บอกว่ามีอำนาจทำต่อได้ เพราะแผนขบวนการยังไม่บรรลุผล 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังเปิดข้อมูลที่สำนักงาน ป.ป.ช. เคยมีหนังสือซักซ้อมทำความเข้าใจ กรณีเจ้าหน้าที่รัฐอยู่ระหว่างการไต่สวน ไม่ว่าจะอยู่ขั้นตอนไหนก็ตาม หาก ป.ป.ช. ยังไม่พิจารณาว่ามีมูลความผิด ย่อมถือไม่ได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐผู้นั้นมีความผิด ดังนั้นผู้บังคับบัญชาจึงไม่สามารถนำเหตุไปปรับย้าย เลื่อนเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง

"ถามว่าทำไมต้องให้ออกจากราชการ 18 เมษายน แล้วส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. 19 เมษายน ถ้าส่งให้เป็นผู้ถูกร้อง ถือเป็นผู้บริสุทธิ์ จะเอาออกจากราชการไม่ได้ จึงให้ออกก่อน แล้วค่อยส่งสำนวนไป ป.ป.ช. แม้จะไม่ส่งภายในกำหนด 30 วัน แต่อย่างน้อยหนักเป็นเบา แต่ท่านคิดผิด เพราะถ้าสอบสวนเลย 30 วัน ถือไม่มีอำนาจสอบสวน และไม่มีอำนาจออกหมายเรียก ออกหมายจับด้วย"

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า กรณีการถูกสั่งให้ออกจากราชการฯ นั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขั้นตอนการสั่งพักราชการ หรือ ให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามที่รักษาการ ผบ.ตร. เซ็นคำสั่ง เมื่อวันที่ 18 เมษายน บอกว่า มีกรณีถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน จนถูกดำเนินคดีอาญา หากให้อยู่ต่ออาจเกิดความเสียหาย การสอบสวนจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว

"แต่เหตุผลที่ยกมายืนยันได้ว่าผิดกฎหมาย เพราะกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ. 2547 ระบุ ผู้นั้นถูกตั้งกรรมการสอบสวนถ้าให้อยู่เกิดความเสียหาย แต่ตามไทม์ไลน์คดี ผมถูกกล่าวหาตั้งแต่ 2 ธันวาคม 2566 และยังอยู่ที่ สตช. อีก 3 เดือน 18 วัน ขณะนั้น พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร. ถ้าเสียหาย ผบ.ต่อศักดิ์ ต้องให้ตนออกจากราชการไปตั้งนานแล้ว ต่อมาตนอยู่ถูกสั่งให้มาอยู่สำนักนายกฯ เพียง 29 วัน จะเข้าไปยุ่งเหยิงกับสำนวนอย่างไร เพราะไม่มีอำนาจ"


กรณี "กองวินัย" อ้างการสอบสวนจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อธิบายว่า แต่ พ.ร.บ.ตำรวจ ปี 2565 มีเวลากำหนดไว้ชัดเจนในการพิจารณา ไม่เกิน 150 วัน หากไม่เสร็จให้ผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือไปสั่งลงโทษ ผบ.ตร. และตามมาตรา 120 วรรคสี่ ระบุว่า ระหว่างการสอบสวน จะนำเหตุแห่งการสอบสวนมาเป็นข้ออ้างให้กระทบต่อสิทธิของผู้ถูกสอบสวนไม่ได้ เว้นแต่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งพักราชการหรือให้ออกจากราชการได้ แต่ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งคณะกรรมการฯ ตั้งขึ้นมาวันเดียวกันกับที่ให้ตนออกราชการ

แต่เมื่อไปดูข่าวแจกสื่อมวลชนซึ่งออกมาจากกองสารนิเทศ ระบุคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามความเห็นของฝ่ายกฎหมายและฝ่ายวินัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสำนักงานกฎหมายและคดี และกองวินัย ซึ่งเป็นฝ่ายอำนวยการของ ผบ.ตร. ได้เสนอเรื่องมายัง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. พิจารณาตามข้อกฎหมาย ถามว่า สำนักงานกฎหมายและคดี และกองวินัย เป็นคณะกรรมการสอบสวนหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีการปรับเกลี่ยหน้างาน รอง ผบ.ตร. ใหม่ ลงวันที่ 17 เมษายน แต่ตนถูกให้ออก 18 เมษายน แสดงว่ามีการตระเตรียมกันทำไว้เป็นขบวนการ 

"ผมจะยื่นฟ้องศาลอาญาทุจริตฯ เร็วๆ นี้ ตั้งแต่ผู้การกองวินัย ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมาย เพราะท่านไม่มีอำนาจ แต่ประมวลเรื่องให้ผมออกได้อย่างไร อย่าลืมว่าการเอาตำรวจออก 1 คนไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่นี่มันรีบไง รีบเพราะอยากเป็น อยากเป็นมากเลยเหรอ ผบ.ตร. ตระเตรียมการไว้หมด ทำเรื่องไปหลอกนายกฯ ท่านก็ไม่ทราบ นึกว่าจะเอาผมกลับไปทำงานให้แผ่นดิน ก็ส่งกลับ พอส่งกลับให้ออกเลย" บิ๊กโจ๊ก กล่าว 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ยังเตรียมฟ้องผู้การกองสารนิเทศ และ สทส. กรณีปลดป้ายหน้าสำนักงานออก ถามว่า "รองรอย"ไปตั้งนานแล้ว ไม่เห็นปลดออก ตนได้รับความเสียหาย เสื่อมเสีย เพราะขณะนี้ยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่ง ยังเป็น รอง ผบ.ตร. จะมาปลดป้ายหน้าสำนักงาน ถอดชื่อจากเว็บไซต์ได้อย่างไร กระเหี้ยนกระหือรือ อยากเป็นมากเหรอ ผบ.ตร.

"ผมต้องสอนเลยว่ามวยมันคนละชั้น ผมเจอมาเยอะ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ไม่ได้แอ้มผมหรอก ขอเตือนไว้ก่อนคุกรออยู่แน่นอน ท่านเหลือเวลาอีก 2 ปี ต้องสู้อีกยาวนาน"