จุลพงศ์ ฉุน คารม อคติปมยุบ-ไม่ยุบก้าวไกล จี้ นายกฯ ทบทวน เก้าอี้รองโฆษกรัฐบาล
จุลพงศ์ ฉุน คารม มีอคติ กล่าวหาก้าวไกล จี้ เศรษฐา ทบทวนตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาล หลังใช้ตำแหน่งในรัฐบาลพูด หวั่นคนเข้าใจ นายกฯ เห็นด้วย ย้ำ ก้าวไกลต่อสู้ตามกฎหมาย ปัด กดดันศาล คารม ซัด การเสนอแก้มาตรา 112 ถือเป็นปฏิปักษ์สถาบัน เชื่อ ก้าวไกลเตรียมพรรคสำรองรอไว้แล้ว
ที่อาคารรัฐสภา นายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล แถลงตอบโต้นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกรัฐบาล กล่าวหาหัวหน้าพรรคและพรรคก้าวไกลหลายประการ ในการต่อสู้ทางกฎหมายในคดียุบพรรคก้าวไกลว่า การแสดงความคิดเห็นดังกล่าวของรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เกิดจากความมีอคติส่วนตัวและความไม่เป็นมืออาชีพ การต่อสู้เรื่องอำนาจศาลที่กำลังพิจารณาคดี ในคดีใดคดีหนึ่งว่า ศาลนั้นไม่มีอำนาจในการพิจารณาคดีดังกล่าวเป็นการต่อสู้คดีโดยปกติ ที่ฝ่ายที่ถูกร้องสามารถยกขึ้นมาต่อสู้คดีได้ ทุกคดีในศาล การยกเรื่องดังกล่าว ไม่ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาลแต่อย่างใด มีคดีในศาลจำนวนมากที่ศาลยกฟ้องด้วยเหตุที่มีการฟ้องผิดศาลหรือผู้ร้องไปฟ้องต่อศาลที่ไม่มีอำนาจพิจารณาคดี
การที่พรรคก้าวไกลยกข้อต่อสู้ประเด็นว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกล จึงเป็นเรื่องปกติ ตรงกันข้ามการที่ผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมาย แต่พูดชี้นำศาลรัฐธรรมนูญว่าการยกข้อต่อสู้ว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจพิจารณาคดีเป็นการละเมิดอำนาจศาลเช่นนี้ หากไม่ใช่การมีความรู้อันจำกัดของผู้ประกอบการวิชาชีพกฎหมายแล้ว น่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยมีอคติส่วนตัวกับพรรคก้าวไกล
การต่อสู้ของพรรคในเรื่องที่กกต. ดำเนินกระบวนการไม่ถูกต้องตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองและระเบียบกกต. ในเรื่องการรวบรวมพยานหลักฐาน เพราะกกต. ไม่ได้เรียกไห้พรรคก้าวไกลได้มีโอกาสให้ข้อเท็จจริงหักล้างข้อกล่าวหา ขอชี้แจงว่าเป็นการต่อสู้ของพรรคก้าวไกลในวิธีพิจารณาของกกต. ก่อนที่กกต. จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขั้นตอนการรวบรวมและรับฟังพยานก่อนฟ้องคดี เป็นเรื่องที่สำคัญมากในการดำเนินคดี
นายจุลพงศ์ยังชี้แจงกรณีการใส่ร้ายว่าพรรคก้าวไกลดึงต่างประเทศมากดดันศาลรัฐธรรมนูญว่า เป็นเรื่องที่บุคคลที่มีความคิดเช่นนี้ขาดวุฒิภาวะ ในความเข้าใจสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน ประเทศไทยไม่สามารถอยู่โดดเดี่ยวในสังคมโลกนี้ได้ คุณค่าของสังคมโลกในขณะนี้อยู่ที่การมีสิทธิมนุษยชนและสิทธิทางการเมืองของประชาชน เรื่องเหล่านี้มีผลต่อการลงทุนในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสิ้น
การที่รองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีออกมาแสดงความคิดเห็นที่สื่อได้ว่าสมควรยุบพรรคก้าวไกลนั้น คิดว่านายกรัฐมนตรีสมควรทบทวนการทำงานของรองโฆษกคนนี้ว่า ได้แสดงความคิดเห็นแบบมืออาชีพของการเป็นโฆษกรัฐบาลหรือไม่ เพราะไม่ได้บอกว่าเป็นความเห็นส่วนตัวโดยไม่ใช้ความเห็นของรัฐบาล มิฉะนั้นประชาชนจะเข้าใจว่านายกรัฐมนตรีเห็นด้วยกับการยุบพรรคการเมืองเหมือนเช่นที่เคยเกิดกับพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน
ก่อนหน้า นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แสดงความเห็น กรณีวันที่ 7ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำพิพากษายุบหรือไม่ยุบพรรคก้าวไกลว่า ต้องยอมรับว่า ไม่เคยมีปรากฎการณ์ที่พรรคการเมืองใดที่กล้าท้าทายสถาบันพระมหากษัตริย์แบบพรรคก้าวไกล เราทราบดีว่า พรรคก้าวไกลนั้นมาจากพรรคอนาคตใหม่ ก่อนหน้ามีเพียงพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเท่านั้นที่เคยเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันฯ พยายามจะแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ความคิดริเริ่มแบบนี้ หลายคนสงสัยว่า เป็นความคิดริเริ่มที่ถูกหรือผิด สร้างสรรค์หรือทำลายกับสถาบันฯ เพราะแม้คนธรรมดาก็ยังมีมาตรา326 เป็นกฎหมายป้องกันสิทธิส่วนบุคคล
ก่อนที่ศาลจะมีคำวินิจฉัย สังคมจับตาคนของพรรคก้าวไกล มีการแสดงออกทำนองว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจยุบพรรคการเมืองจะถูกยุบไม่ได้ ถ้าประชาชนไม่เลือกพรรคๆนั้น จะถูกยุบเอง การกระทำดังกล่าว หากเป็นคดีอยู่ในกระบวนการของศาลยุติธรรม และคดีกำลังพิจารณา การแสดงละครดังกล่าวหรือการแสดงออกต่อการพิจารณาคดีของศาลแบบนี้ อาจเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาลได้ ยังมีสส.ของพรรคการเมืองบางพรรคที่เป็นเครือข่ายของพรรคก้าวไกล ส่งข้อความผ่านไปถึงต่างประเทศ ให้เข้ามาจับตาการวินิจฉัยคดียุบพรรคของศาลรัฐธรรมนูญว่าไม่เป็นสากล แปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่า คือการเอาสถาบันต่างประเทศกดดันศาล
การยุบพรรคการเมือง โดยหลักการแล้ว ถ้าพรรคการเมืองไม่ทำผิดกฎหมาย การยุบพรรคการเมืองก็ไม่ควรเกิดขึ้น เหมือนที่ศาลก็ไม่ควรตัดสินจำคุกหรือประหารชีวิตคนที่ไม่ได้กระทำผิด อย่างไรก็ดี เมื่อมีการยุบพรรคการเมืองสมาชิกพรรคการเมือง ไม่ใช่กรรมการบริหารพรรค สามารถย้ายเข้ายังไปสังกัดพรรคใหม่ได้ คนของพรรคก้าวไกลก็ทราบดี เชื่อว่ามีการตั้งพรรคไว้รอแล้ว วันที่ 7 สิงหาคม เป็นวันระพี วันบิดาแห่งกฎหมายไทย มั่นใจการตัดสินของศาลจะมีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายรองรับอย่างมีเหตุมีผล เป็นที่ยอมรับของสังคมแน่นอน