"วิโรจน์"ซักฟอกนายกฯอิ๊งค์ใช้นิติกรรมอำพรางมีเจตนาเลี่ยงภาษี
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯแพทองธาร มีเจตนาเลี่ยงภาษี 218.7 ล้านบาท ใช้นิติกรรมอำพรางผ่านตั๋วสัญญาใช้เงิน
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 ที่รัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. พรรคประชาชน อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร กล่าวหาว่าหลบเลี่ยงภาษีการรับให้ ตั้งแต่ปี 2559 โดยใช้นิติกรรมอำพรางผ่านตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN)
โดยก่อนปี 2559 การโอนหุ้นอ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หาทำให้ไม่ต้องเสียภาษี แต่เมื่อกฎหมายภาษีการรับให้บังคับใช้ ผู้ที่ได้รับทรัพย์สินจากบุพการีหากเกิน 20 ล้านบาทต้องเสียภาษี 5% และหากได้รับจากบุคคลอื่นเกิน 10 ล้านบาทต้องเสียภาษีในอัตราเดียวกัน
แทนที่จะจ่ายภาษีตามกฎหมาย นายกฯแพทองธารกลับใช้ตั๋ว PN แทนการจ่ายเงินเมื่อซื้อหุ้นจากครอบครัว โดยพบว่ามีหนี้สิน 4,434.5 ล้านบาท จากเอกสารเพียง 9 แผ่น ซึ่งเป็นตั๋ว PN ที่กำหนดชำระเมื่อทวงถาม หมายความว่าหากไม่มีการทวงถาม น.ส.แพทองธารก็ไม่ต้องจ่าย
ตัวอย่างเช่น นายกฯแพทองธารได้รับหุ้นจากพี่สาวมูลค่า 2,388.7 ล้านบาท พี่ชาย 335.4 ล้านบาท ลุง 1,315.5 ล้านบาท ป้าสะใภ้ 258.4 ล้านบาท และแม่ 136.5 ล้านบาท โดยไม่ได้จ่ายเงินสักบาท แต่ใช้ตั๋ว PN แทน
หากพิจารณารายละเอียดของการชำระค่าหุ้น เป็นดังนี้
1.น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ (พี่สาว) 4 ฉบับ รวมเป็นเงิน 2,388,724,095.42 บาท ชำระ ค่าหุ้นบริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชั่น จำกัด ,บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด,บริษัท เอสซี ออฟฟิซ พลาซ่า จำกัด และ บริษัท เอส ซี เค เอสเทต จำกัด โดยจะต้องเสียภาษีอย่างน้อย 118.9 ล้านบาท
2.นายพานทองแท้ ชินวัตร (พี่ชาย) 1 ฉบับ เป็นเงิน 335,420,541 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ต้องเสียภาษีอย่างน้อย 16.3 ล้านบาท
3.นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ (มีศักดิ์เป็นลุง เพราะเป็นพี่ชายคุณหญิงพจมาน) 2 ฉบับ เป็นเงิน 1,315,460,000 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท โอเอ ไอ แมนเนจเม้นท์ จำกัด และ บริษัท บี.บี.ดี. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ต้องเสียภาษีอย่างน้อย 65.3 ล้านบาท
4.นางบุษบา ดามาพงศ์ (มีศักดิ์เป็นป้าสะใภ้ เพราะเป็นภริยานายบรรณพจน์) 1 ฉบับ เป็นเงิน 258,400,000 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท บี.บี.ดี. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ต้องเสียภาษีอย่างน้อย 12.4 ล้านบาท
5.คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ (มารดา) 1 ฉบับ เป็นเงิน 136,517,701.60 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท โอเอไอ คอนซัลแต้นท์ แอนด์ แมนเนจเม้นท์ จำกัด ต้องเสียภาษีอย่างน้อย 5.8 ล้านบาท
นายวิโรจน์ตั้งคำถามว่า นี่คือการซื้อหุ้นจริง หรือเป็นการรับให้ที่แฝงมาในรูปแบบนิติกรรมอำพรางเพื่อเลี่ยงภาษี ซึ่งหากนายกฯแพทองธารซื้อหุ้นจริง ควรต้องจ่ายภาษีบุคคลธรรมดา แต่เนื่องจากใช้ตั๋ว PN ที่ไม่มีการจ่ายเงินจริง จึงไม่ต้องเสียภาษีใดๆ
นายวิโรจน์สรุปว่า การหลีกเลี่ยงภาษี 218.7 ล้านบาทของนายกฯแพทองธาร ขัดต่อหน้าที่พลเมืองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 50(9) และละเมิดมาตรฐานจริยธรรมของนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 160(4) และ (5) เป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชนและประเทศชาติ และเรียกร้องให้พิจารณาว่าน.ส.แพทองธารสมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่
อีกประเด็นที่ต้องตั้งคำถามคือ น.ส.แพทองธาร มีพฤติการณ์ใช้ช่องว่างทางกฎหมาย นิติกรรมอำพราง ในการหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีการรับให้ตั้งแต่ปี 2559 หรือแต่เดิมก่อนมีภาษีการรับให้ การโอนหุ้นให้คนนี้
การยักย้ายถ่ายเทซุกหุ้น อ้างว่าให้โดยเสน่หา ภาษีไม่ต้องเสียสักสลึง แต่พอแก้ภาษีประมวลรัษฎากร ภาษีการรับให้เมื่อปี 2558 บังคับใช้ 1 ก.พ. 2559 หมายความว่า ตั้งแต่ 1 ก.พ. 2559 เป็นต้นไป ตามประมวลรัษฎากรฯ มาตรา 42 (27) เงินที่ได้จากการรับโดยเสน่หา จากบุพการี จะต้องได้รับการยกเว้นภาษีไม่เกิน 20 ล้านบาทตลอดปีภาษี
หมายความว่า ลูกให้แม่ แม่ให้ลูก ถ้าเกิน 20 ล้านบาท ต้องเสียภาษีอัตรา 5% ส่วนมาตรา 42 (28) เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะ โดยหน้าที่ธรรมจรรยา หรือให้โดยเสน่หา หรือขนบธรรมเนียมประเพณี บุคคลไม่ใช่บุพการี หรือผู้สืบสันดาน ไม่เกิน 10 ล้านบาท หมายความว่า ถ้าพี่ให้น้อง น้องให้พี่ ลุงให้หลาน ถ้าเกิน 10 ล้านบาท ส่วนที่เกินต้องเสียภาษีรับให้ 5%
“ถ้าไม่อยากจ่ายภาษีรับให้ พ่อแม่ส่วนใหญ่จะทยอยให้ ปีละไม่เกิน 20 ล้านบาท ถ้าอยากให้ทั้งก้อนตัดจบไปเลย ส่วนที่เกิน 20 ล้านบาท ก็จ่ายภาษีรับให้อัตรา 5% ตรงไปตรงมา แทนที่แพทองธารจะทำเหมือนมนุษย์มนาทำกัน กลับใช้ช่องทางกฎหมาย หลีกเลี่ยงภาษีรับให้ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา เรื่องนี้ประชาชนทุกคน สามารถแกะรอยได้จากบัญชีทรัพย์สิน แพทองธาร ที่ยื่นรับตำแหน่งนายกฯ” นายวิโรจน์ กล่าว
ทั้งนี้ ตลอดการอภิปรายของนายวิโรจน์ สส.พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงไม่ให้ใช้ถ้อยคำเสียดสี
ที่มา ดราฟท์ประกอบการอภิปราย ปชน. วิโรจน์ ประเด็น การเสียภาษี ของนายกฯ