"ฝ่ายค้าน" ซักฟอก “นายกฯอิ๊งค์” ถือหุ้นโรงแรมหรู ออกโฉนดมิชอบ

24 มีนาคม 2568

"ฝ่ายค้าน" ซักฟอก “นายกฯอิ๊งค์” ถือหุ้นโรงแรมหรูเขาใหญ่ เขตพื้นที่นิคมสร้างตนเอง-ต้นน้ำลำธาร ห้ามออกโฉนด ชี้ เจตนาฉ้อฉล

นายธีรัจชัย พันธุมาศ ผู้แทนราษฎรพรรคประชาชน กรุงเทพมหานคร อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในข้อกล่าวหาว่าไม่มีคุณสมบัติและไม่มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหาร ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ 

 

มีพฤติการณ์เอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบสังคม เห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเองและครอบครัวอยู่เหนือผลประโยชน์ของส่วนรวม ไม่เคารพกฎหมาย ซ้ำร้ายยังเลือกใช้กฎหมายไปเล่นงานคู่ขัดแย้งทางการเมือง แต่กลับจงใจหลีกเลี่ยงไม่ตรวจสอบความผิดของตนเองและครอบครัว

 

นายธีรัจชัย กล่าวว่า ในบัญชีทรัพย์สินของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ระบุว่าถือหุ้นใหญ่ในบริษัท เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ โฮเต็ล จำกัด

 

หากพูดให้ชาวบ้านเข้าใจง่ายๆ ก็คือ นายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าของโรงแรมนี้ และไม่เพียงแต่เป็นเจ้าของ แต่ยังเป็นกรรมการบริษัท ตั้งแต่ปี 2556 จนกระทั่งต้องลาออกจากตำแหน่งกรรมการเพื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรี

โดยที่ดินที่โรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ตั้งอยู่ แบ่งออกเป็น 4 แปลง มีโฉนดทุกแปลง คือโฉนดเลขที่ 22054 76046 76047 และ 76048 อยู่ในตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา

 

"แค่ที่ดินมีโฉนด มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะถูกกฎหมายเสมอนะครับท่านประธาน ดูที่ดินเขากระโดงสิครับ มีโฉนดก็จริง แต่ทำไมถึงยังมีการตรวจสอบความไม่ชอบด้วยกฎหมายอยู่ถึงทุกวันนี้"

 

โฉนดที่ดินจะถูกกฎหมายก็ต่อเมื่อมันออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าออกโฉนดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่นไปออกโฉนดในพื้นที่ที่มันห้ามออกโฉนด

 

สุดท้ายอาจโดนเพิกถอนการออกโฉนดในภายหลังได้ เพราะการออกโฉนดนั้นทำผิดกฎหมายมาตั้งแต่ต้น แบบนี้มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย

 

ดังนั้น สิ่งที่ต้องตรวจสอบต่อก็คือ ไอ้ตรงโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ นี่มันสามารถออกโฉนดได้โดยชอบรึเปล่า หรือมีกฎหมายห้ามออกเอกสารสิทธิ์หรือไม่ เรามาดูกันต่อ

นายธีรัจชัย กล่าวต่อว่า สิ่งที่ต้องย้อนไปดูอันดับแรก ก็คือที่ดินที่เป็นที่ตั้งของโรงแรมหรูของนายกแพทองธารแต่เดิมมันเป็นที่ดินอะไร

 

พอตรวจสอบย้อนหลังแล้ว จึงพบว่า ที่ดินตรงนี้เป็นที่ดินของ ‘นิคมสร้างตนเองลำตะคอง’ โดยนิคมสร้างตนเอง คือโครงการที่รัฐบาลสมัยก่อนจัดสรรพื้นที่ให้ประชาชนเข้าไปอยู่อาศัยและทำกิน

 

สำหรับกรณีนิคมสร้างตนเองลำตะคองมีที่มาจากการที่รัฐบาลจะสร้างเขื่อนลำตะคอง จึงอพยพชาวบ้านมายังนิคมแห่งนี้ เมื่อปี 2513 โดยให้ที่ดินชาวบ้านทำกินกันคนละไม่เกิน 50 ไร่

 

โดยพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 บัญญัติว่าถ้าสมาชิกนิคมที่ได้สิทธิถือครองที่ดิน ถือครองทำกินในที่ดินอยู่ครบ 5 ปี จะสามารถออกเอกสารสิทธิที่เรียกว่า “หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตนิคมสร้างตนเอง” หรือ น.ค.3

 

หากปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่นที่กฎหมายกำหนดครบถ้วน ก็สามารถ เอา น.ค.3 ไปเปลี่ยนเป็น นส.3 หรือโฉนดที่ดินได้ต่อไป แต่หลักการนี้มีข้อยกเว้นตามกฎหมาย

 

หลังจากนั้นธีรัจชัยแสดงแผนที่ของกรมพัฒนาที่ดิน ที่จัดทำโดย GISTDA หรือสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ(องค์การมหาชน)

 

โดยเป็นแผนที่นี้จัดทำขึ้นมาเพื่อตรวจสอบการบุกรุกป่าบริเวณเขาใหญ่ในปี 2558 โดยกรอบสีแดงคือเขตพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำตะคองคือที่ดินที่อยู่ในเขตนิคมสร้างตนเองลำตะคอง

 

แต่ถ้าในพื้นที่นั้นมีพื้นที่สีขาวอยู่ด้วย คือพื้นที่ที่ถูกกันไว้เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธาร หรือเรียกภาษาอังกฤษว่า Watershed Area ซึ่งมีมติ คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2514 ให้สงวนหวงห้ามไว้ ไม่ให้มีการเข้าไปทำประโยชน์และไม่ให้ออกเอกสารสิทธิใดๆ

นายธีรัจชัย กล่าวว่า ตนนำเลขที่โฉนดแปลงนี้ คือหมายเลข 22054 ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง ใส่ลงไปในระบบแลนด์แมพของกรมที่ดิน ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ประชาชนคนไหนๆ ก็สามารถเข้าถึงได้

 

เมื่อได้พิกัดมาแล้ว เราก็เอาพิกัดนั้นไปเทียบกับแผนที่อิเล็กโทรนิกส์ของกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งเป็นเอกสารราชการที่น่าเชื่อถือ โดยใช้ระบบ GIS ระบบคอมพิวเตอร์มีความแม่นยำสูง

 

ก็จะเห็นว่าที่ดินแปลงนี้ที่เป็นที่ตั้งของโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ ของท่านนายกแพทองธาร ตั้งอยู่ในพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ซึ่งตามกฎหมายแล้วเข้าใช้ประโยชน์ไม่ได้ และออกโฉนดไม่ได้

 

ย้ำชัดๆ อีกทีเพื่อท่านประธาน จะได้เข้าใจตรงกันที่ดินในนิคมสร้างตนเองลำตะคอง ออกโฉนดได้เว้นแต่มันจะเป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารตรงไอ้ก้อนขาวๆ ทั้งสามก้อนเนี่ย เขาห้ามเข้าไปครอบครองทำประโยชน์

 

เมื่อห้ามใครเข้าไปทำประโยชน์แล้ว มันก็ออก น.ค. 3 ไม่ได้ เมื่อออก น.ค. 3 ไม่ได้ ใครก็ออก นส. 3 หรือโฉนดที่ดิน ไม่ได้เช่นกันครับ

 

สิ่งที่ต้องมาดูต่อไปคือ โรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ของท่านนายกแพทองธาร อยู่ตรงไหน

 

ที่ดินโรงแรมของนายกแพทองธารนั้น มันอยู่จุดที่เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ไม่ควรจะมีใครเข้าไปทำประโยชน์ได้ และไม่ควรจะมีใครสามารถนำที่ดินตรงนั้นไปออก นส.3 หรือโฉนดได้

 

"แล้วไอ้โฉนดที่ดินทั้งสี่แปลง หมายเลข 22054 76046 76047 และ 76048 ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา มันออกมาได้ยังไง?"

 

นายธีรัจชัย อธิบายเพิ่มเติมว่า ในสมัยก่อน เทคโนโลยีระบบแผนที่ต่างๆ ของประเทศไทยยังไม่ค่อยดี เวลาออก นค.3 ให้ชาวบ้านในนิคมสร้างตนเอง ก็ออกโดยกรมประชาสงเคราะห์

 

หรือปัจจุบันก็เปลี่ยนมาเป็นกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ในกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ ก็ไม่ได้มีเทคโนโลยีดีๆ ไม่ได้มีการรังวัดอะไรเป็นกิจจะลักษณะเหมือนปัจจุบัน

 

เจ้าหน้าที่แยกไม่ค่อยออกว่าชาวบ้านอยู่ที่ไหนอย่างไรกันแน่ ชาวบ้านเข้าไปอยู่ในพื้นที่สงวนหวงห้ามหรือเปล่าก็ตรวจสอบกันลำบาก ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่รู้แค่ว่าชาวบ้านมีตัวตนอยู่จริงก็ออกเอกสารให้ได้แล้ว

 

จนกระทั่งหลังจากสงครามเวียดนามผ่านไป ประเทศไทยเราก็ได้อานิสงส์จากการที่สหรัฐอเมริกา เอาเครื่องบินมาบินถ่ายภาพทางอากาศแถวนี้บ่อยๆ เราจึงมีภาพถ่ายทางอากาศที่ทันสมัยเอามาใช้กับงานแผนที่ได้ ก็เลยเริ่มรู้ชัดเจนขึ้นว่าที่ดินตรงไหนมันออกเอกสารสิทธิถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนบ้าง

 

แต่การจะไปตรวจสอบเอกสารสิทธิที่เคยออกทั้งหมดก็ทำไม่ได้ง่ายๆ เช่นกัน เลยต้องใช้วิธีว่าต่อจากนี้ถ้าใครจะขอออกโฉนดที่ดิน พนักงานที่ดินที่ออกไปรังวัดพื้นที่ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าไปทับป่า ทับพื้นที่หวงห้าม ทับพื้นที่ต้นน้ำลำธารบ้างหรือไม่

 

หลังจากนั้นธีรัจชัยเปิดเผยหนังสือของกรมที่ดิน เมื่อปี 2523 ออกเวียนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ กำชับให้เจ้าหน้าที่เขียนรายงานการรังวัดให้ครบถ้วน

 

นับแต่บัดนั้น ถ้ากระบวนการออกโฉนดที่ดินเป็นไปตามกระบวนการปกติและถ้าเจ้าหน้าที่ดำเนินการโดยสุจริต ยากที่จะออกโฉนดที่ดินคลาดเคลื่อนผิดกฎหมายได้

 

แต่ถ้ายังมีการออกโฉนดที่ดินไปทับป่า ทับพื้นที่หวงห้าม ทับพื้นที่ต้นน้ำลำธาร เป็นต้น ก็สามารถสันนิษฐานได้เบื้องต้นว่า กระบวนการการออกโฉนดที่ดินนั้นน่าจะมิชอบด้วยกฎหมาย

 

ยิ่งเดี๋ยวนี้ ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ยากมาก เพราะเรามีระบบคอมพิวเตอร์ พอขอรังวัดปุ๊บ เอาแปลงที่ดินเข้าระบบ ก็เจอเลยว่าที่ดินแปลงนี้ขอออกโฉนดได้ไหม ทับที่ป่า ทับที่ สปก. หรือทับที่หวงห้าม เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารหรือเปล่า

 

คิดดูว่า ขนาดท่านอนุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีอำนาจเหนือกรมที่ดิน แต่ที่ดินบางแปลงของสนามกอล์ฟ แรนโช ชาญวีร์ ยังเป็น นส.3ก อยู่เลยครับท่านประธาน ครอบครัวท่านอนุทินยังไม่ได้นำไปรังวัดปักหมุดออกโฉนดเลย เพราะมันอาจจะเสี่ยง

 

คือเวลาไปออก นส.3ก ถึงมันจะมีภาพถ่ายทางอากาศ แต่ก็ไม่มีการปักหมุดหรือหลักเขตและไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดเหมือนกับโฉนด ไม่ต้องมีเจ้าพนักงานที่ดินกับเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาที่ดินมาตรวจจำแนกก่อนว่าไปทับที่ดินหวงห้ามต่างๆ หรือไม่

 

แผนที่ตรงแรนโช ชาญวีร์ ไม่ไกลจากโรงแรมเทมส์ วัลลีย์  จะเห็นว่าที่ดินสนามกอล์ฟดังกล่าว อาจเข้าไปทับกับพื้นที่ สปก. ตามที่ลูกน้องของนักการเมืองหนึ่งเปิดประเด็นจริงก็ได้

 

ดังนั้น หากวันดีคืนดี มีการนำ นส. 3 ก. ของแรนโช ชาญวีร์ไปขอออกโฉนด แล้วคอมพิวเตอร์มันไปตรวจเจอว่ามีส่วนหนึ่งส่วนใดของสนามกอล์ฟไปทับกับพื้นที่ สปก. เดี๋ยวมันจะยุ่ง

 

หลังจากนั้นนายธีรัจชัย อภิปรายกลับมาที่โรงแรมของนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวว่า ประเด็นนี้ก็คล้ายๆ กับแรนโช ชาญวีร์ คือตอนแรกยังไม่ได้เป็นโฉนด แต่มีการเอาที่ดินตรงนั้นไปออก นส.3ก ก่อน เพราะมันแค่รังวัดด้วยการเดินชี้ ไม่ต้องรังวัดโดยละเอียด คงไม่มีใครไปตรวจสอบว่ามันไปทับกับพื้นที่หวงห้ามอะไรบ้างรึเปล่า

 

และจากหลักฐานพบว่า ปี 2537 บุคคลในครอบครัวของนนายกแพทองธาร ได้ไปซื้อที่ดินแปลงนี้มา โดยในขณะนั้นเป็น นส.3ก เลขที่ 2583 เนื้อที่ 33 ไร่ 2 งาน 20 ตารางวา

 

“แต่ที่เทมส์ วัลลีย์ของท่านแพทองธาร สุดยอดกว่าแรนโช ชาญวีร์ก็คือ หลังจากครอบครัวของท่านนายกไปซื้อ นส.3 ก. มาได้เพียง 2 ปี ในปี 2539 ก็เอาที่ดินในนิคมสร้างตนเองแปลงนี้ ไปออกเป็นโฉนด ได้เป็นโฉนดเลขที่ 22054  แล้วต่อมา ปี 2555 ก็เอาโฉนดแปลงนี้ ไปแบ่งเป็น 4 แปลง ตามที่ผมได้อภิปรายไว้แต่แรก?"

 

ที่ดินแปลงนี้มันไม่ควรออกโฉนดได้แน่นอน เพราะพอรังวัดปุ๊บ ต้องเจอปั๊บ ว่าไปอยู่ในพื้นที่ต้นน้ำลำธารของนิคมสร้างตนเองลำตะคอง เป็นเขตหวงห้าม ครอบครองเข้าทำประโยชน์ไม่ได้ และออกโฉนดไม่ได้

 

ยิ่งปี 2555 ที่ไปแบ่งโฉนดเป็น 4 แปลง ยิ่งไม่ควรจะออกโฉนดได้  เพราะตอนนั้นเรามีระบบเทคโนโลยีดีขึ้นเยอะแล้ว มีคอมพิวเตอร์ กรอกเลขปุ๊บ โชว์แผนที่ขึ้นมา เจอปั๊บว่าออกโฉนดได้หรือไม่ เป็นที่ดินที่ไปทับพื้นที่ต้นน้ำลำธารหรือไม่

 

คำถามคือ แล้วทำไมมันออกโฉนดได้ถึง 2 ครั้ง ถ้าเป็นตาสี ตาสา ยายมี ยายมา ไปขอออกโฉนดแบบซื่อๆ ในพื้นที่แบบนี้ตนมั่นใจว่า เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน เขาไม่ออกโฉนดให้แน่นอน

 

มิหนำซ้ำ พอเจ้าหน้าที่ทราบว่า อ้าวที่ดินมันเป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารนี่นา เขาอาจจะส่งเรื่องไปเพิกถอน นส.3 หรือโฉนดที่ได้มาอีกด้วย

 

การที่จะทำอย่างเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ได้ มันไม่ง่ายหรอกครับ ถ้าไม่มีอำนาจรัฐ อำนาจทางการเมือง หรืออำนาจอื่นใดมาเกี่ยวข้อง แล้วมันก็ช่างบังเอิญจริงๆที่ในช่วงที่มีการออกโฉนดตรงโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ครั้งแรกนั้น เรามีรองนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง นามสกุลชินวัตรเหมือนท่านนายกแพทองธารพอดี  ชายคนนั้นเป็นรองนายกต่อเนื่องกันตั้งแต่รัฐบาลนายกบรรหาร ศิลปอาชา จนถึงรัฐบาลนายกพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ

 

แล้วมันก็ช่างบังเอิญอีกที่ตอนเอาโฉนดเลขที่ดิน 22054 ไปแบ่งเป็น 4 โฉนดในปี 2555 ก็เป็นเวลาที่ประเทศของเรามีนายกรัฐมนตรีที่นามสกุลชินวัตร เหมือนกับนายกแพทองธารพอดี

 

นอกจากนั้น นิคมสร้างตนเองลำตะคอง ที่โรงแรม เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ตั้งอยู่ ยังไม่มีประกาศยกเลิกเขตนิคมสร้างตนเอง นั่นหมายความว่า ยังอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ที่กำหนดให้ใช้ประโยชน์ที่ดินได้ เฉพาะการอยู่อาศัยและการทำเกษตรกรรม เท่านั้น

 

หมายความว่าต่อให้จะออก นส.3 หรือออกโฉนดไปแล้ว ถ้าต้องการจะเอาที่ดินไปทำอย่างอื่นนอกจากการเกษตรหรืออยู่อาศัย เช่น จะไปทำสนามกอล์ฟ หรือโรงแรม เจ้าของที่ดินต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมพัฒนาสังคมเสียก่อน

 

เรื่องนี้มีทั้งระเบียบ และความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาชัดเจน(เรื่องเสร็จที่ 386/2535) ว่าต้องได้รับอนุญาตเป็นกรณีๆ ไป ถึงจะทำโรงแรม สนามกอล์ฟ หรืออย่างอื่นนอกจากการเกษตรหรืออยู่อาศัยได้

 

และในปี 2558 เมื่อครั้งรัฐบาล คสช. ไปตรวจโครงการโรงแรมรีสอร์ทสนามกอล์ฟต่างๆ ในพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำตะคองตามนโยบายทวงคืนผืนป่า เจ้าหน้าที่ก็พบว่า นอกจากจะไปออกโฉนดทับพื้นที่ต้นน้ำลำธารแล้ว โรงแรมเทมส์ วัลลีย์ ของนายกรัฐมนตรี ยังไม่เคยได้รับอนุญาตให้ทำกิจการโรงแรมจากอธิบดีกรมพัฒนาสังคมอีกด้วย

 

สุดท้าย ธีรัจชัยกล่าวสรุปการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า 

 

“ท่านนายกแพทองธาร ทำธุรกิจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไปเอาพื้นที่ต้นน้ำลำธารในป่าเขาใหญ่ ในนิคมสร้างตนเอง มีการออกโฉนดเป็นของครอบครัวตนเอง แล้วยังเอาไปทำธุรกิจโรงแรมโดยไม่ได้รับอนุญาต

 

ตนขอเรียนท่านประธาน ผ่านไปยังท่านนายกรัฐมนตรีว่า เรื่องในลักษณะคล้ายๆ กันนี้ คือกรณีการออกโฉนดในพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ป.ป.ช. เพิ่งมีมติชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่กรมที่ดินไป เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 เมื่อกลางปีที่แล้วนี่เอง

 

เป็นลักษณะเดียวกับที่ดิน โรงแรม เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ของท่านนายกแพทองธาร ตั้งอยู่ใกล้ๆ กันนี่เอง แล้วที่ดินแปลงนี้ แล้วท่านนายกแพทองธารจะรอดไปได้อย่างไร

 

เพื่อนสมาชิกสภาผู้ทรงเกียรติ พี่น้องประชาชนที่ติดตามฟังอยู่ทางบ้าน วันนี้ตนได้นำข้อมูลความผิดของแพทองธาร ตระกูลชินวัตร มาอภิปรายในสภาแห่งนี้ ว่าเธอนั้นไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

 

มีพฤติการณ์เอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบสังคม เห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเองและครอบครัวอยู่เหนือผลประโยชน์ของส่วนรวม อย่างไร

 

แต่สิ่งที่ยิ่งน่ารังเกียจ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการไม่เคารพกฎหมาย แต่ยังเป็นการจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินโดยมิชอบ

 

การที่สนามกอล์ฟ แรนโช ชาญวีร์ ของครอบครัวท่านอนุทินถูกตรวจสอบ มันเป็นเรื่องบังเอิญเหรอ ขนาดท่านอนุทินยังไม่เชื่อเลย บอกว่ามันมีใบสั่งทางการเมืองห้าร้อยล้านเปอร์เซ็นต์

 

แล้วใคร ที่จะออกใบสั่งเพื่อเล่นงานคนระดับท่านอนุทินได้ เป็นทั้งรองนายกรัฐมนตรี เป็นทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็มีแต่ท่านนายก หรือไม่ก็คนในครอบครัวของท่านเท่านั้นแหละ ที่มีอำนาจบารมีพอที่จะทำได้

 

ในเมื่อท่านนายกเห็นว่าที่ดินสนามกอล์ฟ แรนโช ชาญวีร์ อาจมีปัญหา ท่านนายกลืมไปแล้วเหรอครับว่า ที่ดินของตนเองและครอบครัวที่เขาใหญ่ มันน่าจะมีปัญหาหนักกว่าของครอบครัวท่านอนุทินเสียอีก

 

เพราะแรนโช ชาญวีร์ เป็นแค่ นส.3ก. อาจจะทับพื้นที่ สปก. แต่กรณีโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่นั้น เป็นการโฉนดทับพื้นที่ต้นน้ำลำธาร และยังทำธุรกิจโรงแรมโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียด้วย 

 

ท่านประธานคิดว่า คนอย่างแพทองธาร ชินวัตร ไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ หรือ? ท่านนายกรู้แน่ๆ แต่ท่านนายกจงใจที่จะละเลยไม่ตรวจสอบการกระทำผิดของตนเองและครอบครัว

 

คนอย่างแพทองธาร ชินวัตร ไม่ใช่แค่ไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง แต่ยังทำให้กฎหมายกลายเป็นแค่เครื่องมือทางการเมืองของตนเองและครอบครัว

 

เจตนาใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉล นำไปใช้เล่นงานคู่ขัดแย้งทางการเมืองของตนเองเท่านั้น แต่ปกปิดอำพราง ไม่เคยคิดที่จะตรวจสอบการกระทำผิดของตนเองและครอบครัวคนที่มีพฤติกรรม พฤติการณ์เช่นนี้ จะปล่อยให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีกไม่ได้แม้แต่วันเดียว

 

เมื่อสภาแห่งนี้ทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ผมก็ขอให้พวกเราร่วมกัน ใช้อำนาจที่ได้รับมาจากประชาชน ลงมติไม่ไว้วางใจ ไม่ให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อีกต่อไป”

Thailand Web Stat