ศึกซักฟอก สะดุด! ตัดจบก่อนเวลา-ห้ามใช้สไลด์ "ไอโอร่างทอง"
ศึกซักฟอก สะดุด! “ชยพล” ถูก ตัดจบก่อนเวลา-ห้ามใช้สไลด์ หลังอภิปรายประเด็น "ไอโอร่างทอง" ประธาน-สส. หลายคน ท้วงเรื่องการใช้เอกสารลับของกองทัพ หวั่น "กระทบความมั่นคง"
นายชยพล สท้อนดี ผู้แทนราษฎรพรรคประชาชน กรุงเทพมหานคร อภิปรายเกี่ยวกับปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร(IO) ที่มีการขยายทั้งวิธีการและเป้าหมาย โดยกล่าวว่า สาเหตุเพราะนายกรัฐมนตรีคนนี้ถือเอาผลประโยชน์ของตนเองและบุคคลในครอบครัวอยู่เหนือผลประโยชน์ของส่วนรวม มีพฤติกรรมโกหกหลอกลวง ไม่ดำเนินการตามนโยบายที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน
แต่กลับกระทำการ เป็นนั่งร้านให้แก่กลุ่มบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้ตนเองและบิดาได้กลับมามีอำนาจแบบอภิสิทธิชน นายกรัฐมนตรีตระกูลชินวัตรคนนี้ ถึงกับทรยศต่อประชาชน แล้วหันไปสยบยอมต่อฝ่ายอำนาจนิยม ยอมที่จะละทิ้งการปฏิรูปกองทัพ ยอมที่จะปล่อยให้ทหารบางกลุ่มใช้กลไกของรัฐเป็นเครื่องมือแทรกแซงการเมืองต่อไป
ปล่อยให้ทหารบางกลุ่มใช้กลไกของรัฐไปคุกคามประชาชน ปลุกปั่นสร้างความแตกแยกเกลียดชังกันในสังคม เซาะกร่อนบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยของประเทศจนยากจะเยียวยา
หลังจากนั้นชยพลย้อนรอยการอภิปรายเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร(IO) ตั้งแต่ปี 2563 จนถึง 2566 โดยมีการอภิปรายทั้งในสภาและนอกสภาแล้วกว่า 4 ครั้ง มีทั้ง IO กองทัพ IO เอกชน IO จิตอาสา มาจนถึงการใช้สปายแวร์สอดแนม
โดยนายชยพล เปิดเผยว่าตนนำข้อมูลมาจากเอกสารภายในของขบวนการ IO ของกองทัพ รวมทั้งเอกสารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการนี้ ประกอบไปด้วย เอกสารของคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ กองทัพบก เอกสารรายงานการทำงานของไซเบอร์ทีมภายใต้ ศปก. ร่วมฯ หรือศูนย์ปฏิบัติการร่วมของทหารและตำรวจ
เอกสารรายงานการทำงานเหล่านี้ มีทั้งรายงานประจำสัปดาห์ตั้งแต่สมัยรัฐบาลประยุทธ์มาจนถึงรัฐบาลแพทองธาร และเอกสารสรุปยุทธศาสตร์ประจำปีของทีมไซเบอร์ รวมไปถึงเอกสารประมาณการภัยคุกคามด้านความมั่นคงภายในราชอาณาจักรของ กอ.รมน. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการ
จากเอกสารของคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ กองทัพบก ทำให้เราทราบว่าในช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2566 กองทัพได้ประชุมแผนงานด้านสารนิเทศเพื่อความมั่นคง และได้วิเคราะห์ว่ามีการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยโดยกลุ่มเหล่านี้มีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนชัดเจน จึงสั่งให้ทุกเหล่าทัพจัดตั้ง “คณะทำงานความมั่นคงพิเศษ” ขึ้นมา ตามแนวทางที่ทีม ศปก. ร่วมฯ ของกองทัพบกนำเสนอ
ศปก.ร่วมฯ ย่อมาจากคำว่าศูนย์ปฏิบัติการร่วม คือศูนย์ปฏิบัติการที่ปกติจะจัดตั้งขึ้นมาเพื่อบังคับบัญชาและประสานงานในการทำภารกิจร่วมกันระหว่างเหล่าทัพรวมถึงตำรวจด้วย ส่วน “คณะทำงานความมั่นคงพิเศษ” ที่สั่งให้ทุกเหล่าทัพจัดตั้งขึ้นมานั้น มีหน้าที่ประสานงาน ทำงานร่วมกัน
โดยให้จัดทำโครงสร้างและแนวทางการดำเนินงานของแต่ละหน่วยงาน ทั้งในระดับนโยบาย ระดับผู้ประสานงาน และระดับทีมปฏิบัติการ โดยมีการสั่งให้ทุกหน่วยงานเริ่มดำเนินการตาม “แผนงาน IRC” ที่ ศปก. ร่วมฯ ทีม ทบ. นำเสนอในทันที และได้มีการเน้นย้ำด้วยนะครับ ว่าให้เพิ่ม “การดำเนินการเชิงรุกต่อ HVT”
IRC นั้นย่อมาจาก Information-Related Capabilities หมายถึง “ขีดความสามารถที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสาร” เช่น เครื่องมือ เทคนิค หรือกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสาร ที่จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมาย ส่วน HVT ย่อมาจาก High Value Targets ซึ่งตามที่ปรากฏในเอกสารของคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ ทบ. และเอกสารไซเบอร์ทีมของกองทัพนั้น HVT คือ “กลุ่มเป้าหมายที่มีความสำคัญและมีผลกระทบต่อสถาบันฯ สูง” กลุ่มเป้าหมายเหล่านี้จะมีจำนวนและหน้าตาเปลี่ยนไปบ้างตามแต่ละสถานการณ์
นอกจากนั้น ยังสั่งการให้ ศปก. ร่วมฯ จัดตั้ง Cyber Team ทำหน้าที่ วางแผนและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการในแต่ละมิติ และมีมาตรการที่สอดคล้องกัน เพื่อให้เกิดผลการดำเนินงาน เกิดผลลัพธ์ตามเจตนารมย์ของผู้บังคับบัญชา
โดยสรุป จากเดิมที่ขบวนการ IO ของกองทัพเคยแยกกันทำ แต่ละเหล่าทัพทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่ในช่วงก่อนเลือกตั้งปี 66 ไม่นาน ได้มีการจัดโครงสร้างปฏิบัติการ IO ขึ้นมาใหม่ให้มีเอกภาพตั้งแต่ระดับนโยบายไปจนถึงระดับปฏิบัติการ
“...จากที่ผมติดตาม ปัจจุบัน Cyber Team นี้จะประชุมกันทุกวันพุธหรือพฤหัส สถานที่ประชุมก็อยู่ใกล้ๆ แถวนี้แหละครับ ตรงแถวสะพานเกษะโกมล ห่างจากสภาของพวกเราไปแค่ประมาณ 2 กิโลนิดๆ คนที่นั่งอยู่หัวโต้ะ ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง
ปี 2566 ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลแพทองธารในปัจจุบัน คอยบัญชาการ Cyber Team นี้ คือ รองผอ.ศปก.ร่วม ฯ และเป็นอดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก บุคคลท่านนี้ มีนามว่า พล.อ. ธรรมนูญ วิถี
พลเอกท่านนี้ ส.ส.ปิยรัฐ จงเทพ ส.ส. ชลธิชา แจ้งเร็ว และ ส.ส. รังสิมันต์ โรม น่าจะคุ้นหน้าคุ้นตา คุ้นชื่อเสียงเรียงนามกันดีครับ เพราะนายทหารท่านนี้คือคนที่มีบทบาทสำคัญในการไล่จับไล่ฟ้อง ไล่ปราบกิจกรรมต่อต้านรัฐประหารตั้งแต่ในยุค คสช. ช่วงแรก พอมาถึงยุครัฐบาลประยุทธ์ 2 ก็ได้ย้ายเข้ากรุงเทพ และมีบทบาทสำคัญในการปราบปรามม็อบราษฎร
แล้วผมก็แปลกใจนะครับ เพราะขนาดท่านเกษียณราชการไปจากกองทัพบกตั้งแต่ปี 64 แล้ว แต่ท่านก็ยังดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการของศูนย์ปฏิบัติการร่วม และคอยบัญชาการทีมไซเบอร์นี้โดยตรงมาจนถึงปัจจุบัน
โครงสร้างการบัญชาการของขบวนการ IO ตอนนี้ ดูจะสะท้อนสิ่งที่เราอาจจะเรียกได้ว่า เป็นรัฐซ้อนรัฐ กองทัพซ้อนกองทัพ ได้เป็นอย่างดี ประเทศของเรากำลังเกิดอำนาจรัฐที่อาศัยกลไกของกองทัพ ซ้อนขึ้นไปอยู่เหนืออำนาจของรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง และยังเกิดอำนาจของกองทัพที่ซ้อนขึ้นไปอยู่เหนือผู้บัญชาการกองทัพในระบบราชการปกติอีกด้วย…” นายชยพล กล่าว
โดยจากเอกสารรายงานการทำงานของ Cyber Team กลุ่มคนที่เป็นเป้าหมายของกองทัพจะถูกติดตามถูกสอดแนม และที่สำคัญคือ จะถูกขุดคุ้ยข้อมูลส่วนตัว มองหาจุดอ่อนต่างๆ หรือไม่ก็จะปั้นเรื่องขึ้นมาเป็น “ข้อมูล Dark Side” หรือข้อมูลด้านมืด เพื่อใช้โจมตีเป้าหมาย โดยกลุ่มบุคคลเป้าหมายของขบวนการ IO กองทัพนั้น
ตัวอย่างเป้าหมายแรกคือ พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส ถูกระบุว่ามีพฤติกรรมต่อต้านรัฐบาลขณะนั้น มีการรายงานว่าทีมไซเบอร์ได้ “ดำเนินการสร้างภาพจำ” ไปแล้ว 29 คอนเทนต์ โดยใช้ข้อมูล Dark side เช่น ชอบเอาข้อมูลของตำรวจไปบอกสนธิ ลิ้มทองกุล ที่บ้านพระอาทิตย์ ในสมัยที่เป็นรักษาการ ผบ.ตร. ได้รับรถหรูมาจากบริษัทเอกชนที่อาจตกแต่งบัญชีเพื่อเลี่ยงภาษี ถูกยื่น ป.ป.ช. ให้ไต่สวนว่าปกปิดบัญชีทรัพย์สิน และในเอกสารยังระบุอีกว่าให้ขยายผลสร้างภาพจำว่ามีคดีทุจริตจัดซื้อรถจักรยานต์ Tiger สมัยเป็น ผบ.ตร.
และนอกจากข้อมูล Dark side ก็ยังมีการสะกดรอยตาม ตามไปทุกที่ เกือบทุกวัน ตามไปถ่ายรูปตั้งแต่หน้าบ้านยันตึกจอดรถของพรรคเพื่อไทย แอบถ่ายรูปรถตู้ Alphard สีดำของเสรีมาใส่ไว้ในรายงานด้วย นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายเป็นบุคคลอื่นๆ อีก เช่น พรรณิการ์ วานิช พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อมรัตน์ โชคปมิตตกุล
นายชยพล อภิปรายเพิ่มเติม เกี่ยวกับเทคนิควิธีการที่ขบวนการ IO ปฏิบัติการ DCM หรือ Direct Counter Measure กับกลุ่มเป้าหมายแบบเชิงรุก โดยประกอบด้วยหลายมาตรการ ได้แก่ Phishing 44,096 ครั้ง Report 10,044 ครั้ง Brute Force 26,231 ครั้ง Spam 4,270 ครั้ง ตลอดระยะเวลาปีงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา มีปฏิบัติการทางไซเบอร์แบบนี้ ต่อเป้าหมาย 85 ราย รวมทั้งสิ้น 84,641 ครั้ง
นอกจากนี้ นายชยพลยังเปิดเผยถึงแผนปฏิบัติการรูปแบบอื่นๆ เพิ่มเติม เช่นการใช้ DDOS Attack และ Fake Wifi Access Point
“...ผมยืนยันว่า ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของกองทัพเหล่านี้ โดยเฉพาะการใช้ Social Bot, Spam, Phishing, และ Brute Force โจมตีเป้าหมายที่เป็นพลเรือนทั่วไปแบบนี้ นี่ไม่ใช่ปฏิบัติการทางไซเบอร์ แต่เป็นอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐเป็นอาชญากร เป็นอาชญากรรมไซเบอร์ที่ดำเนินการโดยใช้ภาษีของประชาชน ใช้ทรัพยากรและบุคลากรของรัฐ อาชญากรรมโดยรัฐต่อประชาชนแบบนี้ เกิดขึ้นในยุคที่เรามีนายกรัฐมนตรีมาจากพลเรือน มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ที่ชื่อ แพทองธาร ชินวัตร…
ปฏิบัติการ IO สายดาร์กทั้งหมดที่ผมได้อภิปรายมานี้ ท่านนายกต้องรู้ว่ามันผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ หลายมาตรา เช่น มาตรา 5,7,8,10,14 เป็นภัยต่อความมั่นคงของประชาชน แต่หน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของท่านนายกฯ กลับปฏิบัติการเป็นอาชญากรทางไซเบอร์เสียเอง…”
นายชยพล กล่าวถึงประเด็นต่อไปว่า ในเอกสารของทีมไซเบอร์กองทัพ นอกจากจะมีรายงานการดำเนินงานตาม “ยุทธศาสตร์ฝ่ายเรา” แล้ว ยังมีการวิเคราะห์ “ยุทธศาสตร์ฝ่ายเห็นต่าง” ด้วย ฝ่ายเราคือกองทัพ ฝ่ายเห็นต่างก็คือขบวนการล้มล้างสถาบันฯ โดยชยพลแสดงเอกสารที่จัดทำขึ้นเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2567 เป็นแผนภาพสรุป “ยุทธศาสตร์ฝ่ายเห็นต่าง” ในปี 2568 โดยแบ่งยุทธศาสตร์ฝ่ายเห็นต่างเอาไว้ 3 ระยะ
ระยะแรก ปี 2567-2570 ฝ่ายเห็นต่างจะต่อสู้ขับเคลื่อนใน 3 สนามอย่างเข้มข้น ทั้งสนามการเมือง ทั้งสนามมวลชน ทั้งสนามวัฒนธรรม
ยุทธศาสตร์ระยะที่ 2 ปี 2571-2574 ฝ่ายเห็นต่างตั้งเป้าหมายจะเข้าไปเป็นรัฐบาลเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ จะแก้ไขเรื่ององค์กรอิสระ จะส่งคนของฝ่ายเห็นต่างไปอยู่ในตำแหน่งสำคัญขององค์กรภาครัฐและกองทัพ จะสร้างแนวร่วมขององค์กรภาครัฐ จะครอบงำสื่อ จะเอาชนะการเลือกตั้งท้องถิ่น และฝ่ายเห็นต่างจะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวในการเลือกตั้งปี 2574
ยุทธศาสตร์ระยะสุดท้าย คือตั้งแต่ปี 2574 เป็นต้นไป ฝ่ายต่อต้านจะเริ่มกระบวนการล้มล้างสถาบันฯ โดยจะดำเนินนโยบายยกเลิก ม.112 จะเสนอ พ.ร.บ. นิรโทษกรรม จะลดทอนสถาบันฯ จะยุบกองกำลังส่วนตัวของกษัตริย์ที่อยู่เหนือการควบคุมของรัฐบาล และจะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ทั้งหมดทั้งปวงเป็นขั้นตอนที่จะนำไปสู่การยกเลิกสถาบันฯ ในที่สุด
“การบอกว่าพวกผมจะยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ นี่มันเป็นข้อกล่าวหาร้ายแรงมากนะครับ และในฐานะที่พวกผมเป็นนักการเมือง เป็นพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ผมเชื่อว่าประชาชนคนไทยแยกแยะได้ ประชาชนคิดเป็น ดังนั้น ถ้าเมื่อไรพวกเขาเห็นว่าพวกผมจะยกเลิกสถาบันฯ ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ จะลงโทษพวกผมเอง
พวกผมมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ก็เพราะอำนาจของประชาชน ถ้าพวกผมเป็นขบวนการล้มล้างสถาบันฯ จริงตามที่กองทัพกล่าวหา ประชาชนจะเป็นคนตัดสินเอง แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่กิจของกองทัพที่จะมาจับแพะชนแกะ จับโยงมั่วซั่ว แล้วเหมารวมกล่าวหาคนนั้นคนนี้และพรรคการเมืองว่าจะยกเลิกสถาบันฯ แบบนี้”
นายชยพล อธิบายต่อว่า เพื่อให้แพทองธารได้เป็นนายกรัฐมนตรีและพวกพ้องครอบครัวเข้าสู่อำนาจ แทนที่จะนำกองทัพมาอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน แต่นายกแพทองธารกลับยอมให้กองทัพไม่ต้องถูกกำกับควบคุมโดยรัฐบาลพลเรือนอีกต่อไป ปล่อยให้กองทัพแทรกแซงการเมืองตามอำเภอใจได้ ส่งผลเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยของเราจนยากจะเยียวยา ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองฝ่ายไหน ต่างก็ตกเป็นเป้าหมายของ IO กองทัพได้เพื่อผลประโยชน์ของนายพลบางกลุ่ม
หลังจากนั้น นายชยพล เปิดข้อมูลหลักฐานว่ามีการปฏิบัติการ IO ต่อนายกรัฐมนตรีและบิดาอีกด้วย เช่นประเด็นโจมตีว่าท่านนายกจะทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดนให้กับประเทศกัมพูชา โจมตีรัฐบาลเรื่องให้สัญชาติกับคนต่างด้าว บอกว่าเป็นการกระทำที่อกตัญญูต่อบรรพชนชาวไทย โจมตีเรื่องคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี บอกว่า ทั้ง ๆ ที่พรรคเพื่อไทยก็มี สส. ที่มีประสบการณ์จำนวนมาก พรรคร่วมรัฐบาลเองก็มี สส. ที่ประสบการณ์เยอะ ทำไมไม่เอาคนพวกนั้นมาบริหารประเทศ หรือคนกลุ่มนั้นเป็นได้แค่พี่เลี้ยงเด็ก มีติ้กถูกแค่คุณสมบัติเดียวคือการมีพ่อเป็นอดีตนักโทษชาย แม้แต่แฟชั่นของนายกเองก็ไม่ปลอดภัย โดนโจมตีเรื่องการแต่งตัวไม่เหมาะสมในขณะที่เดินทางไปพบผู้นำต่างประเทศ
ถึงตอนนี้ ตนไม่แน่ใจว่านายกรัฐมนตรีเริ่มสัมผัสได้หรือยัง ทุกคนในประเทศนี้สามารถถูกโจมตีโดย IO ได้ ถ้ากองทัพต้องการแทรกแซงการเมือง หรือต้องการสร้างสถานการณ์ต่างๆ ตามที่นายพลบางกลุ่มต้องการ
โดยจุดที่น่าสนใจที่สุดของการอภิปรายครั้งนี้ นายชยพลเปิดเอกสารกอ.รมน. ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ขณะที่มีนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร นั่งเป็นผู้อำนวยการอยู่โดยตำแหน่ง เอกสาร “ประมาณการภัยคุกคามด้านความมั่นคงภายในราชอาณาจักร รอบ 1 ปี ห้วง 1 ต.ค. 67 ถึง 30 ก.ย. 68”
ในประเด็นการประมาณการภัยคุกคามต่อสถาบันฯ หัวข้อ 4.1.2.1 ได้มีการระบุถึง “กลุ่มบุคคลที่แสวงหาผลประโยชน์โดยแอบอ้างสถาบันฯ” อยู่ด้วย โดยในหัวข้อนี้ได้กล่าวถึงบุคคล 3 คน ได้แก่ นายทักษิณ ชินวัตร, ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า, และนายอนุทิน ชาญวีรกุล
“...สุดท้ายก็ไม่มีใครรอด เพราะสำหรับนายพลบางกลุ่ม เขาต้องการผูกขาดความจงรักภักดีไว้กับกองทัพฝ่ายเดียว ส่วนคนอื่นนั้น ถ้าไม่ถูกใช้ประโยชน์ชั่วครั้งชั่วคราว ก็ถูกมองว่าบุคคลที่แสวงหาผลประโยชน์โดยแอบอ้างสถาบันฯ นี่คือตัวอย่างของความเลวร้ายจากการที่ท่านนายกแพทองธารยอมปล่อยให้กลไกของกองทัพไม่ถูกกำกับควบคุมโดยรัฐบาลพลเรือน ปล่อยให้มีมือมืด ใช้ทรัพยากรของกองทัพเข้าแทรกแซงการเมือง…”
หลังจากนั้นนายชยพลเปิดหลักฐานประเด็นหัวข้อที่มีการทำปฏิบัติการ IO ซึ่งได้แก่การส่องคดีทักษิณอ้างป่วยเรื้อรังเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ชกมวยอยู่เมืองนอก กลับไทยแล้วป่วย ขึ้นชื่อเป็นบุคคลสาธารณะทำไมตรวจสอบไม่ได้ นักโทษเทวดาลอยหน้าลอยตาในสังคม
นายชลพลอภิปรายสรุปทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ตนได้เรียนรู้จากครอบครัวและโรงเรียนเตรียมทหาร คือ การเป็นทหารที่ดี มีเกียรติมีศักดิ์ศรีและการทำเพื่อประชาชนนั้นเป็นอย่างไร ประเทศไทยจำเป็นต้องมีกองทัพที่เข้มแข็งและมีศักยภาพเพียงพอจะเผชิญกับภัยความมั่นคงยุคใหม่ และทหารน้ำดีส่วนใหญ่ในกองทัพก็อยากเห็นกองทัพไทยที่ทันสมัย โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ
พวกเขาอึดอัดที่เห็นนายพลบางกลุ่มหาผลประโยชน์จากกองทัพนำกองทัพไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองจนทำให้ภาพลักษณ์ของกองทัพตกต่ำลง พวกเขาไม่สบายใจที่มีนายพลบางกลุ่มมักแอบอ้างเรื่องสถาบันฯ เพื่อให้ตัวเองได้ดิบได้ดี ได้อำนาจ ได้งบประมาณ โดยไม่ต้องรับผิดชอบว่าพฤติกรรมการแอบอ้างของตนเองนั้น จะส่งผลกระทบต่อสถาบันฯ ในระยะยาวอย่างไร
เรื่องเหล่านี้มันเกี่ยวข้องกับคนเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย เพราะถ้าเรามีนายกที่มีสำนึกประชาธิปไตย เห็นความสำคัญของการปฏิรูปกองทัพ เราจะมีกองทัพที่ดีต่อชาติ ประชาชน และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่แพทองธาร ชินวัตร กลับเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ดำเนินการตามนโยบายที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน ละทิ้งการปฏิรูปกองทัพ ยอมปล่อยให้ทหารบางกลุ่มใช้กลไกของรัฐเป็นเครื่องมือทางการเมืองต่อไป คุกคามประชาชนต่อไป ปลุกปั่นสร้างความแตกแยกเกลียดชังกันในสังคมต่อไป
นายกฯยอมปล่อยให้กองทัพอยู่เหนือการควบคุมของรัฐบาลพลเรือนต่อไป ปล่อยให้เกิดสภาพรัฐซ้อนรัฐ กองทัพซ้อนกองทัพ เซาะกร่อนบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยของประเทศจนยากจะเยียวยา เมื่อไรที่นายพลบางกลุ่มสามารถสร้างสถานการณ์จนสุกงอม พวกเขาก็พร้อมที่จะก่อรัฐประหารอีกครั้ง ตนจึงไม่สามารถไว้วางใจนายกรัฐมนตรีที่ชื่อแพทองธาร ชินวัตร ให้บริหารบ้านเมืองได้อีกต่อไป