ปมหุ้นพีระพันธุ์จุดชนวนการเมือง จับตารวมไทยสร้างชาติส่อแตก

27 เมษายน 2568

ปมถือหุ้น พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค กำลังถูกตั้งคำถามจากสังคมถึงมาตรฐานทางกฎหมายและจริยธรรมของนักการเมือง รวมไทยสร้างชาติส่อแตกภายใน

การถือหุ้นของนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำลังเป็นประเด็นร้อนทางการเมือง 
นอกจากกระทบต่อตัวนายพีระพันธ์แล้วยังลุกลามไปยังเสถียรภาพของรัฐบาล"แพทองธาร 1" 
อนาคตของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) รวมถึงมาตรฐานทางกฎหมายและจริยธรรมของนักการเมือง

กรณี นายสนธิญา สวัสดี ยื่นร้อง ป.ป.ช. ตรวจสอบนายพีระพันธ์ฯ ว่าแม้ทำสัญญาโอนสิทธิบริหารหุ้น
ให้นิติบุคคลจัดการแต่ยังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์หุ้นจริง ยังถือหุ้นอยู่ตามข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
และยังมีสถานะเป็นกรรมการบริษัท มีอำนาจลงนามและบริหารกิจการอยู่จริง
ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 วรรคสาม ที่ห้ามรัฐมนตรียุ่งเกี่ยวกับบริษัทเอกชน

ดังนั้น หาก ป.ป.ช.มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญและมีมติวินิจฉัยในทางที่เป็นผลร้าย 
นายพีระพันธ์ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีตั้งแต่แรก 
จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความชอบธรรมของรัฐบาล "เศรษฐา 1"ต่อเนื่องถึง"แพทองธาร 1"
ในการตัดสินใจและการบริหารราชการที่ผ่านมา 

ยิ่งไปกว่านั้น ประเด็นที่ว่า2นายกรัฐมนตรีทราบถึงข้อสงสัยเรื่องการถือหุ้นหรือไม่ 
จะนำไปสู่คำถามถึงความใส่ใจในการตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรี 
และอาจถูกมองว่าละเลยต่อหลักเกณฑ์ทางกฎหมายและจริยธรรม

การมีรัฐมนตรีที่อาจขาดคุณสมบัติร่วมลงมติในคณะรัฐมนตรี
ยิ่งทำให้การตัดสินใจในประเด็นสำคัญถูกตั้งคำถาม
ถึงความสมบูรณ์โดยชอบด้วยกฎหมายของการบริหารราชการแผ่นดิน

นอกจากนี้ นายพีระพันธ์ถือเป็นแกนนำหลักของ พรรครวมไทยสร้างชาติ 
หากต้องพ้นจากตำแหน่ง จะส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 
การเจรจาต่อรองทางการเมือง และความเชื่อมั่นของสมาชิกพรรคและประชาชน 
ที่หย่อนบัตรลงคะแนนเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติ จำนวน36ที่นั่ง 

ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของพรรคจะถูกตั้งคำถาม
การสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งแทนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งภายใน 
และส่งผลต่อความเป็นเอกภาพของพรรค
ยิ่งไปกว่านั้น ความอ่อนแอของ รทสช.
จะส่งผลต่ออำนาจต่อรองและบทบาทในการร่วมรัฐบาล
ท่ามกลางกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีหลังสิ้นศึกซักฟอกนายกฯแพทองธาร

กรณีนี้ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
กับการดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยเฉพาะประเด็นการถือหุ้นในบริษัทเอกชนและธุรกิจสื่อ 
สังคมจะตั้งคำถามถึงมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะ 
องค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ จะถูกจับตาในเรื่องความรวดเร็ว โปร่งใส 
และความเป็นธรรมในการพิจารณาคดี ซึ่งจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม

การตีความกฎหมาย มาตรา 187 วรรคสามของรัฐธรรมนูญ และพ.ร.บ.การจัดการหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543
ในประเด็น"การยุ่งเกี่ยวกับบริษัทเอกชน" และการตีความมาตรา 98(3) และมาตรา 160(6)ในประเด็น "การถือหุ้น"  
จะเป็นประเด็นสำคัญในการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าการกระทำของนายพีระพันธ์
เข้าข่ายการฝ่าฝืนหรือไม่ และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญได้

ปมการถือหุ้นของนายพีระพันธ์จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ
หากไม่สามารถบริหารจัดการความขัดแย้งได้อย่างระมัดระวัง
อาจส่งผลกระทบต่อเพื่อรักษาเสถียรภาพและความเป็นเอกภาพระยะยาวทั้งภายในพรรคและการร่วมรัฐบาล.

 

Thailand Web Stat