อัศจรรย์อรหันต์บัว
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน บอกชัดๆว่า ท่านจะไม่มาเกิดมาตายอีกแล้ว
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน บอกชัดๆว่า ท่านจะไม่มาเกิดมาตายอีกแล้ว
หลักพระพุทธศาสนาบ่งชัดไว้ว่า ผู้ที่ยังจมอยู่กับกิเลสย่อมเวียนว่ายตายเกิดร่ำไป เว้นแต่จะเป็นพระอริยบุคคลผู้ถ่ายถอนกิเลสได้เท่านั้นจึงจะหักจากวัฏฏะสงสารไปได้
พระอริยบุคคลในพุทธศาสนา มี 4 ประเภท คือ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์
พระโสดาบัน คือ ผู้ที่จะบรรลุพระนิพพานในเบื้องหน้า ไม่มีเป็นอื่น ถึงยังต้องตายเกิดอีกแต่ก็จะไม่ไปเกิดในนรก หรือ เดียรฉานเป็นที่หมาย
พระสกทาคามี แปลว่า ผู้กลับมาเพียงครั้งเดียว หมายถึงกลับมาอีกชาติเดียวก็จะบรรลุพระนิพพาน
พระอนาคามี แปลว่า ผู้ไม่มาเกิดอีก ผู้บรรลุธรรมชั้นนี้จะไม่เกิดเป็นมนุษยอีก หากแต่จะไปเกิดในพรหมโลกแล้วตรัสรู้ในพรหมโลก
พระอรหันต์ คือ บุคคลผู้บรรลุพระนิพพาน เป็นผู้ไม่มาเวียนวายตายเกิดอีกแล้ว
หลวงตามหาบัวไม่มาเกิดมาตายอีกแล้ว
พระเถราจารย์แบ่งพระอรหันต์ ได้ 4 ประเภท เป็นการแบ่งตามคุณวิเศษซึ่งแต่ละรูปมีไม่เหมือนกัน กล่าวคือ เป็นพระอรหันต์เหมือนกันกันเพียงแต่คุณวิเศษของท่านไม่เหมือนกัน
ถามกูเกิลโดยไม่ต้องเปิดพระไตรปิฏกก็ได้ความว่า ประเภทที่หนึ่งคือ พระสุกขวิปัสสก คือ พระอรหันต์ผู้ไม่มีญาณวิเศษใดๆ นอกจากรู้การทำอาสวะให้สิ้นไป
สอง พระอรหันต์ ผู้ได้วิชชา 3 ได้แก่ 1.ระลึกชาติได้ 2.รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย 3.รู้ทำอาสวะให้สิ้น
สาม พระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญา 6 คือ 1.ตาทิพย์ หยั่งรู้เหตุการณ์ใกล้ไกลได้ 2.ทิพยโสต หูทิพย์ 3.เจโตปริยญาณ ทายใจผู้อื่นได้ 4.แสดงฤทธิ์ได้ 5.บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ 5.อาสวักขยะญาณ รู้ญานที่ทำให้อาสวะสิ้นไป
สี่ พระอรหันต์ผู้บรรลุ ปฏิสัมภิทา 4 คือแตกฉานในความรู้อันยิ่ง 4 ประการ
แล้ว ปฏิสัมภิทาญาณ ทั้ง 4 คืออะไร ?
ตัดภาษารุงรังออกไป พูดง่ายๆได้ว่า 1.แตกฉานในอรรถ 2.แตกฉานในธรรม 3.แตกฉานในภาษา 4.แตกฉานในปฏิภาณ
แล้วหลวงตามหาบัวเป็นพระอรหันต์ประเภทใด ?
ประเภทใดไม่รู้ แต่ความแตกฉานในอรรถ ในธรรม แสดงโดยถูกต้อง มีปัญญาว่องไว ไหวพริบเฉียบแหลม คมคาย ในการโต้ตอบ คล่องแคล่วชัดแจ้ง ฉับพลันทันที ฯลฯนั้นเป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่ใจแก่หมู่มวลสาธุชนทั้งปวง
ก่อนจะประจักษ์แจ้งกันทั่วไป หลายสิบปีมาแล้ว หลวงตาบัวรับนิมนต์ศิษย์ไปกราบรอยพระบาทที่เขาวงพระจันทร์
ท่านว่า พอเดินดุ่มถึงยอดเขาไปเพียงคนเดียว ผู้ดูแลรอยพระบาทก็ยกน้ำร้อนน้ำชามาถวายแล้วมองจ้องหน้าท่านอยู่พักหนึ่ง เขาจ้องดูจนผิดปรกติแล้วขอดูลายมือ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า ท่านอาจารย์ไม่ใช่พระธรรมดา ปากเป็นพุทธะ เป็นคนไม่มีแต่ก็ไม่จน ไม่มีเพราะมีเท่าไหร่ไม่สั่งสม
พระปากเป็นพุทธะรูปนี้เวลาแสดงธรรม จะแจกแจงเป็นหม้อใหญ่ หม้อเล็ก หม้อจิ๋ว ตามกำลังของผู้ฟัง แต่ละหม้อต่างกันอย่างไร ท่านเคยแจกแจงไว้เองว่า ตอนสร้างวัดป่าบ้านตาดก็เทศหม้อเล็กหม้อจิ๋วเป็น “ธรรมะเด็ดๆ” ให้พระเณรที่หลั่งไหลเข้ามา
“จากนั้นมาก็เทศน์แกงหม้อใหญ่สอนประชาชนในเรื่องการช่วยชาติ ก็มีแกงหม้อเล็กแฝงนิดหน่อยๆ ที่มีพระกรรมฐานปฏิบัติมากๆ ไปฟังด้วยแล้วออกละ ธรรมะประเภทนี้ออก แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วจะออกๆ ถ้าธรรมดาแกงหม้อใหญ่ออกทั่วไป เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับผู้ฟังตามกำลังของตน ขั้นใดที่ควรจะได้กำลังมากน้องเพียง ธรรมะจะออกรับๆเลย ควรได้ชั้นไหนธรรมะจะออกทันทีๆ ควรจะได้ชั้นไหนก็ต้องออกตามนั้น นี่ละที่ว่าแกงหม้อใหญ่ หม้อเล็ก ห้อจิ๋วเป็นอย่างนั้นเอง...”
แกงหม้อจิ๋วของท่านรสชาติเป็นอย่างไร พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบหลายรูปพูดไว้ในที่ต่างๆกันแล้ว แต่ในที่นี้จะขอยกมาเพียงหนึ่งคือ หลวงปู่คำดี ปภาโส พระอริยสงฆ์แห่งวัดถ้ำผาปู่ จ.เลย หนึ่งในศิษย์ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
หลวงปู่คำดี อายุพรรษามากกว่าหลวงตามหาบัว แต่ท่านนับถือ หลวงตามหาบัวว่าเป็น ครูบาอาจารย์ของท่าน
หลวงตามหาบัวว่า พอได้ยิน องคมนตรี เชาว์ ณ ศีลวันต์ นำความหลวงปู่คำดีมาบอกเช่นนั้นท่านว่า “อุ๊ย ทำไมมาพูดอย่างนี้”
หลวงปู่คำดีอรรถาธิบายในเวลาต่อมาว่า เมื่อธรรมเกิดขึ้นในใจ จิตมันค่อยเป็นไปๆแล้วจึงระลึกถึงถ้อยคำของหลวงตามหาบัวเทศน์ให้ฟัง ตอนฟังนั้นพอพูดธรรมะสูงขึ้นไป ธรรมละเอียด ท่านไม่เข้าใจ ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่พอธรรมมันเป็นในใจ
“เวลามันเป็นขึ้นมาๆนี้ ธรรมะที่ท่านมหาพูดนั้น พอมันเป็นขึ้นมาทีไร อันนี้ขึ้นมาพับ ขึ้นมารับกันๆๆ น้อมรับๆ...การแจกแจงเรื่องขันธ์ 5 ตลอดจนถึงอวิชชา ที่ผ่านมานี้ผมไม่เคยเห็นหนังสือเล่มใดจะไปเหมือน จะแจงได้ละเอียดลออถูกต้องไม่มีที่แย้งภายในจิตเลยเหมือนหนังสือท่านมหานะ ผมเอานี้แหละเป็นแว่นส่องใจผม...”
ด้วยการฟังเทศนาและหนังสือแว่นส่องใจของหลวงตามหาบัว หลวงปู่คำดีก็ส่องใจของตัวเองจนทะลุไปได้
มิใช่แต่หลวงปู่คำดี ก่อนที่หลายรูปจะทะลุผ่านไปได้ก็ด้วยอาศัยแกงหม้อจิ๋วของหลวงตามหาบัวเช่นกัน เช่น พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) ก็อาศัยฟังเทปเทศนาของหลวงตาเป็นแกงหม้อจิ๋วเช่นกัน
ใครกินเข้าไปแล้ว เป็นอย่างไร หลวงตามหาบัวมีคำถามเฉพาะที่ตรวจสอบได้
ท่านว่า ถ้าถามด้วยคำถามนี้แล้วถ้า “จิตไม่เป็น” ตอบไม่ได้เพราะไม่มีในพระไตรปิฎกแต่มีอยู่ในผู้ผู้ปฏิบัติและหลักปฏิบัติเท่านั้น ดังที่ปรากฏหลักไว้ว่า “กัลยาณปุถุชนไม่สามารถแก้ไขปัญหาของพระโสดาบันได้ พระโสดาบันไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาพระสกิทาคามีได้ พระสกิทาคามีไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาพระอนาคามีได้ พระอนาคามีไม่สามารถแก้ไขปัญหาพระอรหันต์ได้ พระอรหันต์ไม่สามารถแก้ไขปัญหาพระอัครสาวกเบื้องซ้ายขวาได้ และพระอัครสาวกเบื้องซ้ายขวาไม่สามารถแก้ไขปัญหาพระพุทธเจ้าได้”
เมื่อหลวงปู่คำดีกินแกงหม้อจิ๋วเข้าไปแล้ว ท่านก็มี “หนังสือน้อย” ปรากฏว่า “ท่านตอบได้ดี จึงแน่ใจว่าท่านผ่านเรียบร้อยแล้ว...”
แล้วฤทธิ์ของแกงหม้อใหญ่เป็นอย่างไร?
เอาแค่ธรรมะขั้นพื้นฐานคือว่าด้วย ทาน หรือ การให้ การเสียสละ จะพบว่า ทอดตาทั่วแผ่นดิน จะมีใครทำผ้าป่าช่วยชาติยกแผ่นดินแล้วมีคนเสียสละขนาดนี้ ร่วมมากขนาดนี้ ได้ทองคำขนาดนี้
เป็นอัศจรรย์ญาณสัมปันโนโดยแท้!
แม้หลวงตามหาบัวจะเผยแผ่ธรรมะเพื่อให้คนตื่นขึ้น ให้รู้ว่ามรรคผลนิพพานมีจริง เส้นทางแห่งการดับทุกข์มีจริง มนุษย์มีศักยภาพที่จะหักวัฏฏะสงสารกันได้ทุกคนถ้าตั้งใจจริงและไม่แสดงอะไรให้คนเห็นหรือเข้าใจผิด หลงไปติดฤทธิ์ หรือพึ่งพิงรูป เหรียญ สิ่งศักดิ์สิทธิหรือสิ่งอื่นใด มากกว่าพึ่งพิงธรรมะ และพึ่งพิงตนเองแต่มิใช่ว่า ศิษย์ไม่ได้ประจักษ์ว่า ท่านมิได้มีสิ่งเหล่านี้
ท่านมี ท่านรู้ แต่ท่านไม่ค่อยแสดงต่างหาก
ถ้ามีเหตุ ท่านถึงแสดง
หนึ่งในหลายๆเรื่องที่มีการรวบรวมไว้โดยศิษย์บางกลุ่มก็มีอาทิ โยมผู้หญิงคนหนึ่งนั่งรถลูกชายไปวัดแล้วมีรถวิ่งสวนมาอย่างเร็วแล้วเลี้ยวกระกันหันเกือบชนกัน โยมผู้นี้เลยทั้งบ่นทั้งด่าคนขับรถคันนั้นมรตลอดทาง เมื่อมาถึงวัดตักบาตร พระฉันเสร็จก็เข้าไปรอรับพร จู่ๆหลวงตามหาบัวก็พูดขึ้นกับโยมผู้นี้ว่า “เรื่องรถเรื่องถนน เขาผิดก็ต้องให้อภัยเขา อย่าด่าเขาเลย”
โยมฟังแล้วไม่ทันเฉลียวใจเพราะมัวแต่นึกว่า ถึงอีกคันเป็นหลานเขยก็ต้องด่า อย่าเข้าข้างกัน แต่ไม่ทันได้ปริปาก หลวงตาก็พูดขึ้นมาอีกว่า “จะเป็นหยังก็ช่าง เขาผิดก็ให้อภัยเขา เพราะเป็นถนนเส้นเดียวกัน”
เรื่องเล่าเนื่องจากมีเหตุเช่นนี้มีอยู่ไม่น้อย ทั้งระดับบุคคลและระดับบ้านเมือง
เรื่องเหลือวิสัยเรื่องหนึ่งที่แสดงถึงบุญญาธิการของหลวงตามหาบัวก็คือ เมื่อเดินหน้าโครงการช่วยชาติจนธนาคารแห่งประเทศไทยยอมรับเงินบริจาคเข้าคลังหลวงแล้ว บรรดาทรัพย์สินทั้งที่เป็นเงินดอลล่าร์ และทองคำก็ได้ถูกส่งมอบให้แก่ธปท.เป็นระยะๆ
ทุกอย่างดูราบรื่น เรียบร้อยแต่หลวงตากลับปารถขึ้นมาว่า “มันไม่เข้า”
ท่านหมายถึง ทรัพย์ทั้งหมดนั้นมันไม่เข้าคลังหลวงสมเจตนารมย์
ก็ธปท.รับไปแล้ว ทำไมไม่เข้า เอาไปไว้ที่ไหน ศิษย์ทั้งหลายก็ว่ามอบไปแล้วมันก็เข้าแล้ว ทำไมหลวงตาว่าไม่เข้า ท่านก็ยืนยันเหมือนเดิมว่า มันไม่เข้า
พอท่านเอะอะขึ้นเช่นนี้ จึงมีการไปตรวจสอบกันจึงพบว่า แรกๆธปท.รับเงินและทองเหล่านั้นไปแล้วเอาไปใส่บัญชีพิเศษประเภทหนี้สินรหัสบัญชี 2-58-07-01-8 เอาไว้แล้วธปท.จะเสนอขออนุมัติให้โอนเป็นรายได้เมื่อเห็นสมควร
แปลว่า เอาเงินนี้ไปตั้งไว้เพื่อรอแปรสภาพให้เป็นรายได้ของ ธปท. ไม่ได้เอาไปใส่ไว้ใน “บัญชีฝ่ายออกบัตร” ซึ่งมีไว้หนุนหลังเวลาพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้
การใส่ผิดที่ ผิดบัญชีก็ผิดเจตนาคือ แทนที่จะเอาไปช่วยชาติก็จะกลายเป็นเอาไปช่วย ธปท.เสียฉิบ
หลวงตาเรียกบัญชีฝ่ายออกบัตร ฝ่ายการธนาคาร ทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยน ฯลฯ ไม่เป็น ท่านพูดแต่ว่า มันไม่เข้า ไม่เอาไปใส่ตุ่มที่ควรจะใส่
พวกศิษย์เรียนสูงๆ รู้วิชาเศรษฐศาสตร์ รู้วิชาทางโลก เพิ่งหูตาตื่นเพราะหลวงตาบอก
เรื่องเหลือวิสัยแบบนี้ ไม่เรียก อัศจรรย์ญาณสัมปันโน ก็ไม่รู้จะเรียกอะไร
ความอัศจรรย์เหล่านี้เป็นเพียงดอกผลข้างทางของพระอริยะ
หลวงตามหาบัว ไม่ได้บอกเพียงว่า ท่านไม่เสียดายชาติเกิดแล้ว ไม่เกิดไม่ตายแล้ว ท่านบอกด้วยว่า ถ้าพิจารณาตามหลักธรรมแล้วไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรตาย ถ้าค้นหาความตายให้ชัดเจนด้วยปัญญาจนประจักษ์แล้วจะไม่กลัวตาย ถ้ารักษาสติให้ดี บำรุงปัญญาให้แก่กล้า จะรู้ทุกระยะแม้ขณะที่ขันธ์กับจิตขาดออกจากกัน หรือที่ภาษาโลกเรียกว่าตาย นี่คือ รู้ชนิดหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ในเวลาตายตามสมมุติ
ความรู้อีกชนิดหนึ่งคือ รู้ขณะกิเลสทั้งมวลขาดกระเด็นออกจากใจ ด้วยอำนาจของสติปัญญา
ท่านว่า รู้ชนิดนี้แล้ว ไม่เหลืออะไรอยู่ภายในใจเลย และรู้ทุกระยะ จิตไม่เคยลดละความรู้ รู้ทุกระยะ ทุกเวลา อกาลิโก คือไม่จำกัดด้วยกาลเวลา
ท่านว่า ให้ฝึกซ้อมเอาไว้แล้วจะไม่เสียที เอาจิตพิจารณาสภาวธรรมทั้งปวงแล้วจะเห็นความอัศจรรย์ขึ้นมา ปฏิบัติไปแล้วจะเห็นจริง ปล่อยวางได้ก็จะอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น เมื่อไม่มีอะไรกดทับ ใจก็จะมีแต่ความเป็นอิสระเต็มตัว
ขอให้เห็นความจริง จะเป็นก็เป็น ตายก็ตาย
หลวงตามหาบัว ผ่านการเห็นความอัศจรรย์ไปแล้ว ทิ้งไว้แต่อัศจรรย์ญาณสัมปันโน ไว้เป็นร่องรอยให้ผู้อยู่หลังได้ตระหนักว่า ทำจริง รู้จริง ได้ผลจริง นิพพานมีอยู่ชาตินี้ ไม่ได้อยู่ชาติไหน
'ตาธรรม' ทะลุปัญหาโลก
เมื่อหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เดินหน้าเปิดโครงการช่วยชาติ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการคลังก็ไม่เข้าใจว่าท่านจะทำไปทำไม ทำแล้วจะมีประโยชน์อะไร
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เล่าถึงเรื่องนี้ไว้ว่า เมื่อเดือน ก.ค. 2542 ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ก็สงสัยว่าที่หลวงตาเอาเงินสมทบเข้าก้อนแรก 1.2 ล้านเหรียญสหรัฐ นั้นจะช่วยอะไรได้ เพราะเทียบกับทุนสำรองที่ทางการมีอยู่ 26,548 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว มันแค่ 0.005% เท่านั้นเอง"ถามว่ามอบทำไม นึกไม่ออกนะครับ"
พอถึงเดือน มิ.ย. 2543 ผู้ว่าการ ธปท.ขณะนั้นบอกว่าจะรวมบัญชีฝ่ายออกบัตรกับบัญชีฝ่ายการธนาคาร ฝ่ายออกบัตรมีไว้หนุนหลังเมื่อยามจะพิมพ์ธนบัตรออกใช้ ขณะนั้นมีอยู่ 25,589 ล้านเหรียญสหรัฐ ฝ่ายการธนาคารซึ่งเป็นบัญชีที่เกิดจากการค้าขายระหว่างประเทศมีอยู่5,800 ล้านเหรียญสหรัฐฃ
เดิม อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ออกกฎหมายปิดไว้ไม่ให้ใครเอาเงินฝ่ายออกบัตรมาใช้ง่ายๆ ถ้าจะทำต้องแก้ไขกฎหมายก่อน
เมื่อ วีรพงษ์ รามางกูร ไปพบหลวงตามหาบัว ท่านก็บอกว่า ถ้ารวมสองบัญชีนี้ "เดี๋ยวเงินมันหมด"
ตอนนั้นรัฐบาลฮึ่มๆ ว่า จะใช้หนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ให้หมดก่อนกำหนด ยอดหนี้เวลานั้นอยู่ที่ 12,586 ล้านเหรียญสหรัฐ
"ก็เลยเห็นแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น ...เราก็ถึงบางอ้อ ผมกับ ดร.วีรพงษ์ ก็ถึงบางอ้อว่า โอ้ งั้นรู้แล้วว่าทำไมท่านอาจารย์ ท่านถึงออกมาเต้นแร้งเต้นกา..."
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เล่าด้วยว่า เมื่อเข้ามาเป็นผู้ว่าการ ธปท.แล้ว ฝรั่งซึ่งเป็นตัวแทนไอเอ็มเอฟ ก็มาบอกให้ใช้หนี้ โดยเสนอรวมบัญชี"ผมเลยถึงบางอ้อ..."
บางอ้อว่า ความคิดนี้เกิดจากการเชื่อฝรั่ง
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร อธิบายว่า ถ้ารวมบัญชีใช้หนี้ไปแล้วจะเหลือเงิน 19,632 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ถ้าเทียบกับยอดหนี้ต่างประเทศซึ่งขณะนั้นมีอยู่ราว 8.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยแบ่งเป็นหนี้ระยะสั้นถึง 2.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ คราวนี้เครดิตประเทศยับแน่ เพราะจะไม่มีใครเชื่อว่าจะใช้หนี้ 8.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐได้ แล้วพวกเจ้าหนี้ระยะสั้นจะดึงหนี้กลับคราวนี้จะยุ่งใหญ่"อันนี้คือสาเหตุที่ทำไมผมกับ ดร.วีรพงษ์ ถึงเชื่อมากว่า ท่านอาจารย์นั้นเห็นถูกแล้ว...ทางโลกกับทางธรรมตรงกัน ผมก็เลยว่า นี่คืออุบายของท่าน ผมเชื่อว่าท่านเห็นอะไรไม่รู้มาตั้งแต่ปี 2541 แล้วเหตุการณ์มาสุกงอมเอาปี 2543