โควตา 68 ล้านฉบับ แหกตาแก้หวยแพง
มติที่ประชุมคณะกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
มติที่ประชุมคณะกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
โดย...ทีมข่าวการเงิน
มติที่ประชุมคณะกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สั่งให้ขยายระยะเวลาในการออกสลากจาก 64 ล้านฉบับ เป็น 68 ล้านฉบับ จากงวดเดือน มี.ค. ไปถึงงวดวันที่ 16 มิ.ย.นี้ โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาดูจะไม่เข้าท่า
เพราะหากนับย้อนไปไม่ถึง 2 ปีก่อน สำนักงานสลากฯ พิมพ์สลากจำหน่าย 46 ล้านฉบับต่องวด และได้ทยอยเพิ่มปริมาณเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่องจาก 46 ล้านฉบับ เป็น 50 ล้านฉบับ และเพิ่มอีก 14 ล้านฉบับ จนเป็น 64 ล้านฉบับ
ล่าสุด เมื่อปี 2554 สำนักงานสลากฯ สั่งพิมพ์เพิ่มอีก 4 ล้านฉบับจนกลายเป็น 68 ล้านฉบับ หรือ 34 ล้านคู่
สรุปว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลปัจจุบัน สำนักงานสลากฯ ได้พิมพ์สลากเพิ่มมากถึง 22 ล้านฉบับ
การตะลุยออกสลากในจำนวนดังกล่าว เป็นการดำเนินการภายใต้สมมติฐานที่สำนักงานสลากฯ มองว่า ปริมาณสลากที่ตลาดรองรับได้อยู่ที่ 90 ล้านฉบับต่องวด ซึ่งตัวเลขดังกล่าวได้มาจากความต้องการสลากของผู้ค้าที่ยื่นเรื่องขอโควตาจากสำนักงานสลากฯ ไม่ได้มาจากการสำรวจความต้องการจากประชาชนที่แท้จริง เพียงแต่มีข้อมูลสนับสนุนว่า พฤติกรรมการเล่นสลากของคนเปลี่ยนไป คือ คนจะซื้อสลากแบบเป็นคู่ น้อยคนที่จะซื้อสลากแบบฉบับเดียว หรือขอให้ผู้ขายฉีกสลาก 1 เสี้ยว หรือฉบับละ 40 บาท ให้ รวมทั้งยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่นิยมเล่นสลากชุด ทำให้ช่วยดูดซับปริมาณสลากได้อีกส่วนหนึ่ง จึงยังทำให้ปริมาณสลากไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชนอยู่
ประเด็นที่น่าสนใจคือ การพิมพ์สลากในจำนวนที่มากถึง 68 ล้านฉบับ หรือ 34 ล้านคู่ต่องวด กลับไม่ได้ช่วยแก้เรื่องปัญหาสลากเกินราคาได้จริง!!
ก่อนหน้านี้ สำนักงานสลากฯ เคยเสนอสมมติฐานต่อที่ประชุมคณะกรรมการว่า การเพิ่มสลากจาก 46 ล้านฉบับ เป็น 60 ล้านฉบับ จะช่วยแก้ปัญหาการขายสลากเกินราคาได้อย่างแน่นอน เมื่อผลการศึกษาพบว่าการพิมพ์สลากเพิ่ม 4 ล้านฉบับ จะทำให้ราคาสลากลดลงอยู่ที่คู่ละ 85-90 บาท แต่หากพิมพ์เพิ่ม 14 ล้านฉบับ สลากจะมีราคาต่ำกว่าคู่ละ 80 บาท
มาวันนี้มีการทยอยพิมพ์สลากเพิ่มมากถึง 22 ล้านฉบับต่องวด แต่สลากยังขายเกินราคากันอยู่ดีที่คู่ละ 100 บาท โดยที่คณะกรรมการสลากฯ ไม่เคยมีการประเมินผลกระทบจากการทยอยเพิ่มสลากในระบบ แถมยังอนุมัติให้มีการออกสลากเพิ่มแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว
นอกจากปริมาณสลากที่เพิ่มจำนวน 22 ล้านฉบับแล้ว ที่ผ่านมาคณะกรรมการสำนักงานสลากฯ ยังมีการโละโควตาสลากเดิม 46 ล้านฉบับ จนมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเคลื่อนย้ายกลุ่มทุนผู้เข้ามารับผลประโยชน์ใหม่ให้กับกลุ่มผู้มีอิทธิพล นักการเมือง และพวกพ้องของคนในกระทรวงการคลังและสำนักงานสลากฯ ที่ได้ประโยชน์จากการจัดสรรโควตาสลากตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา!!!!
สาเหตุสำคัญที่ทำให้การแก้ปัญหาสลากเกินราคาไปไม่รอด...เนื่องจากมีการจัดสรรโควตาให้กับผู้ค้ารายใหญ่ อย่างที่รู้กันว่ามีเสือนอนกินโควตาสลากอยู่มายาวนาน
กลุ่มคนเหล่านี้ได้กลายเป็นผู้กำหนดราคาและมีอำนาจผูกขาดในตลาดสลากฯ ทำให้ราคาสลากที่ส่งไปถึงมือผู้ค้าสลากช่วงถัดมาแพงถึง 85 บาท จากที่รับมาจากสำนักงานสลากฯ เพียง 76 บาท
ขณะเดียวกันเหล่าผู้ค้ารายย่อยที่เดินเร่ขายสลากก็ต้องบวกราคาขายเพิ่มเพื่อหวังกำไร รวมถึงบวกค่าเสียโอกาสกรณีที่ขายสลากไม่หมด โดยเฉพาะสลากเลขไม่สวยมักจะไม่มีคนซื้อ
นอกจากนี้ มาตรการตัดโควตาสลากของสำนักงานสลากฯ กรณีที่พบว่ามีผู้ค้ารายย่อย ผู้ค้ารายใหญ่ หรือนิติบุคคล ขายสลากเกินราคา แล้วจะตัดโควตาและบอกเลิกสัญญาก็ไม่ได้ผล ปัจจุบันยังเห็นคนขายสสลากเกินราคาเกือบ 99.99% หรือแทบทุกแผงขายสลากเกินราคาไม่ต่ำกว่าคู่ละ 100 บาทหมด และทยอยลดลงเหลือ 95 บาท หรือน้อยกว่านั้นได้บ้างในกรณีใกล้เวลาที่หวยออก
กระทรวงการคลังและสำนักงานสลากฯ น่าจะมีการศึกษาให้แน่ชัดว่า การพิมพ์สลากเพิ่มใช่ทางออกของการแก้ปัญหาสลากแพงหรือไม่ เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าหากมีการพิมพ์สลากเพิ่มถึง 90 ล้านฉบับ หรือ 45 ล้านคู่ต่องวด จะแก้ปัญหาสลากเกินราคาได้จริง และจะมีคนกลุ่มอื่นได้รับความเดือดร้อนเพิ่มหรือไม่ เช่น กลุ่มผู้ค้ารายย่อย คนที่เดินเร่ขายสลาก จำเป็นต้องแบกรับผลขาดทุนจากการขายสลากไม่ออกหรือไม่
ทั้งนี้ เพื่อให้การกำหนดนโยบายสลากฯ มีความชัดเจน ไม่ใช่ออกสลากใหม่ไปเรื่อยๆ และอ้างว่าเพื่อแก้ปัญหาสลากเกินราคา แล้วแอบจัดโควตาให้พวกพ้องไปขายหาประโยชน์จากประชาชนคนหาเช้ากินค่ำแบบนี้ต่อไป