ทองคำ 13 ตัน ในคลังหลวง

09 พฤษภาคม 2554

เมื่อวันเสาร์ (7 พ.ค.) ที่ผ่านมา ได้มีพิธีมอบทองคำเข้าคลังหลวง ณ สวนแสงธรรม

เมื่อวันเสาร์ (7 พ.ค.) ที่ผ่านมา ได้มีพิธีมอบทองคำเข้าคลังหลวง ณ สวนแสงธรรม

โดย..สมผล ตระกูลรุ่ง

พุทธมณฑลสาย 3 เป็นการมอบตามเจตนาของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด ที่ท่านได้ทำพินัยกรรมไว้

ทองคำที่มอบในครั้งนี้ จำนวน 920.5 กิโลกรัม รวมทองคำทั้งหมดที่หลวงตาพาชาวไทยร่วมบริจาคเข้าคลังหลวง เป็นทองคำน้ำหนักรวม 13 ตัน หรือ 1.3 หมื่นกิโลกรัม คิดเป็นน้ำหนักทอง 1 กิโลกรัม เท่ากับ 65.59958 บาท จะได้ทองคำเข้าคลังหลวงน้ำหนักรวม 852,794.54 บาท

ถ้าคิดมูลค่าจากราคาทองคำเพียงบาทละ 2 หมื่นบาท จะเป็นเงินทั้งสิ้น 17,055,890,800 บาท ถ้าคิดราคาทองคำ ณ ปัจจุบัน ก็น่าจะเป็นเงินประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท

จะว่ามาก ก็น้อยกว่าสินทรัพย์ของอภิมหาเศรษฐีบางคนของไทย จะว่าน้อย ก็ไม่มีใครในโลกนี้ทำได้อีกแล้ว และไม่มีใครในโลกที่จะกล้าบริจาคทรัพย์จำนวนมากอย่างนี้ให้กับประเทศ

คนเดินดินกินข้าวแกงธรรมดาอย่างพวกเรา คงนึกไม่ออกว่าทองคำจำนวน 13 ตัน จะมากมายเพียงใด

จากข้อมูลเกี่ยวกับทองคำ ปรากฎว่า ทองคำมีความเหนียวมาก โดยทองคำ 1 ออนซ์ ดึงเป็นเส้นลวดได้ยาว 80 กิโลเมตร ถ้าตีเป็นแผ่นบางๆ จะได้พื้นที่ 9 ตารางเมตร

ทองคำ 1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.1508 ออนซ์ คิดแบบคณิตคิดในเครื่องคิดเลข ทองคำ 13 ตัน จะเท่ากับ 417,960.40 ออนซ์

จากอัตราส่วนดังกล่าวจากข้อมูลเกี่ยวกับทองคำ พบว่าทองคำที่หลวงตาบริจาคเข้าคลังหลวง ถ้ายืดเป็นเส้นลวดจะมีความยาว 33,436,832 กิโลเมตร ในขณะที่ประเทศไทยมีความยาวจากเหนือจรดใต้ 1,833 กิโลเมตร ถ้าเอาทองคำของหลวงตาพันรอบประเทศไทยตามความยาวจะได้ 18,241 รอบ

แต่ถ้าตีเป็นแผ่นบางๆ จะได้พื้นที่ 3,761,643.6 ตารางเมตร หรือ 3.76 ตารางกิโลเมตร หรือเท่ากับ 2,350 ไร่ ใหญ่กว่าวัดป่าบ้านตาด 14.42 เท่า

คงพอมองเห็นภาพว่าทองคำที่หลวงตาพาชาวไทยบริจาคทองคำเข้าคลังหลวงนั้นมีมากเพียงใด

ณ วันนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับมอบทองคำของหลวงตาเข้าในบัญชีสำรองพิเศษในฝ่ายออกบัตรเรียบร้อยแล้ว ตามพระราชบัญญัติเงินตรา มาตรา 34/1 ที่บัญญัติให้นำสินทรัพย์บริจาคเข้าบัญชีสำรองพิเศษ ซึ่งเป็นคลังหลวงตามความหมายของหลวงตา

ไม่มีใครรู้ว่าหลวงตาท่านเห็นอะไรเมื่อปี 2541 ในขณะนั้นทองคำบาทละ 4,0005,000 บาท มาจนวันนี้ราคาทองคำบาทละกว่า 2 หมื่นบาท ทองคำกลายเป็นหลักทรัพย์ที่ดีที่สุดในการเก็บเป็นทุนสำรองของประเทศ หลายประเทศระดมซื้อทองคำเข้าเป็นทุนสำรองในประเทศของตนเอง

ประเทศไทยเรามีทองคำเป็นทุนสำรองประมาณ เกือบ 110 ตัน รวมทองคำของหลวงตา 13 ตันด้วย

การเสียสละและเป็นแบบอย่างของหลวงตา ที่ทำเพื่อประเทศไทยของเรา จะปลุกจิตสำนึกของนักการเมืองไทยๆ เราให้เห็นแก่ประโยชน์ของประเทศเป็นอันดับแรกได้หรือไม่ เพราะเห็นนักการเมืองของเรายังเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ยังทิ้งทวนก่อนการเลือกตั้งเพื่อหากระสุนดินดำไว้ใช้ในการเลือกตั้ง

ทองคำของหลวงตาในคลังหลวง จึงยังเป็นที่หมายปองของทั้งนักการเมืองและของธนาคารแห่งประเทศไทย

แต่เดิมพระราชบัญญัติเงินตราป้องกันไม่ให้ใครนำออกไปใช้ได้ แต่เมื่อปี 2545 ในยุคที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยชื่อ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงตา ได้ขอแก้กฎหมายเจาะรูคลังหลวงไว้ตามมาตรา 34/2 ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยนำสินทรัพย์ในบัญชีสำรองพิเศษ หรือคลังหลวง ไปใช้หนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรให้กับธนาคารแห่งประเทศไทยได้

เท่ากับว่าธนาคารแห่งประเทศไทยในทุกวันนี้ สามารถนำเงินคลังหลวงซึ่งมีส่วนของหลวงตารวมอยู่ด้วยในทุกบาททุกสตางค์ ออกไปใช้เป็นประโยชน์ของธนาคารแห่งประเทศไทยเอง

เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยรับมอบทองคำจากหลวงตาจำนวนถึง 13 ตัน ธนาคารแห่งประเทศไทยควรจะชี้แจงความจริงว่าได้นำเงินในทุนสำรองพิเศษ หรือคลังหลวง ไปหนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรตามมาตรา 34/2 แล้วเป็นจำนวนเท่าใดและมีนโยบายในการใช้เงินจากคลังหลวงไปหนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรต่อไปอย่างไร

อย่าลืมว่า ทองคำของหลวงตา ได้ผ่านพิธีกรรมทางศาสนา เป็นทรัพย์สินของสงฆ์ ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ การนำทรัพย์สินของสงฆ์ไปเป็นประโยชน์ของตนเอง เป็นกรรมหนัก

ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ กรรมประเภทนี้ ไม่ต้องไปให้แม่ชีที่ไหนสแกนก็เห็นได้ และอย่าคิดที่จะแก้กรรม เพราะไม่มีทางแก้ได้

การมอบทองคำครั้งนี้ ควรจะเป็นครั้งสุดท้ายของหลวงตา และจะเป็นประวัติศาสตร์ของโลกที่ไม่มีใครสามารถทำได้อีกแล้ว การมอบทองครั้งนี้ เป็นไปตามเจตนาที่หลวงตากำหนดไว้ในพินัยกรรม และควรจะยุติกิจกรรมใดๆ ที่อาศัยชื่อของหลวงตาไปทำมาหากิน

นับจากนี้ไป ไม่มีกิจกรรมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับประชาชนที่หลวงตาสั่งให้ลูกศิษย์ทำ นอกจากการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา กิจกรรมอื่นๆ ที่หลวงตาเคยสงเคราะห์โลก เป็นวาสนาบารมีเฉพาะองค์ท่านเท่านั้น ท่านไม่เคยสั่งให้ลูกศิษย์ทำต่อ โดยเฉพาะลูกศิษย์ที่ยังเป็นสมมุติสงฆ์ ลูกศิษย์ที่ยังไม่จบหลักสูตรของพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านเน้นให้มุ่งปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นเท่านั้น

ท่านไม่เคยสั่งให้ใครพระองค์ใดสร้างเจดีย์ ไม่เคยให้ขายหนังสือของท่าน และไม่เคยสั่งให้พระองค์ใดหาเงินเพื่อกิจการวิทยุและโทรทัศน์ดาวเทียม

ส่วนพระองค์ไหนที่คิดสร้างเจดีย์ ขายหนังสือ หรือจะหาทุนทำสถานีวิทยุ หรือคิดจะรวบรวมทองคำอีก 1 ตัน เพื่อให้ได้ 14 ตัน ก็ขอให้เป็นเรื่องบารมีของพระองค์นั้นที่จะทำ

จะทำเทป ทำซีดีแจกก็ทำไป แต่ไม่ควรโฆษณาแจกในสวนแสงธรรม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหลวงตาที่กรุงเทพฯ เพราะดูแล้วจะเป็นการแข่งบารมีกับครูอาจารย์

วัดป่าบ้านตาดจะเป็นวัดป่าหรือวัดบ้าน อยู่ที่ท่านพระอาจารย์สุดใจ เจ้าอาวาสที่หลวงตาไว้ใจจะพาดำเนินไปในทิศทางใด

 

Thailand Web Stat