posttoday

การให้ใบเหลืองหรือใบแดงแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(จบ)

06 กรกฎาคม 2554

การสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งสามารถกระทำได้

การสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งสามารถกระทำได้

โดย..อนุรักษ์ นิยมเวช

ทั้งก่อนวันเลือกตั้งและหลังวันเลือกตั้ง โดยอาจแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วงระยะเวลา ได้แก่

ช่วงระยะเวลาแรก คือ ช่วงก่อนวันลงคะแนนเลือกตั้ง ผู้มีอำนาจในการพิจารณาสืบสวนสอบสวนและออกคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง คือ กกต. โดยมีหลักว่า หาก กกต.สืบสวนสอบสวนแล้วมีความเห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้สมัครได้กระทำความผิดตามกฎหมายหรือระเบียบในการเลือกตั้ง หรือมีพฤติการณ์ที่เชื่อได้ว่าผู้สมัครได้ก่อให้ผู้อื่นกระทำ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้ผู้อื่นกระทำการดังกล่าว หรือรู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแล้ว แต่ผู้สมัครไม่ดำเนินการเพื่อระงับการกระทำนั้น ถ้า กกต.เห็นว่าการกระทำนั้นน่าจะมีผลให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม กกต.มีอำนาจในการสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้สมัครที่กระทำการเช่นนั้นทุกรายเป็นเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ กกต.มีคำสั่ง ซึ่งจะเป็นผลให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งพ้นจากสภาพการเป็นผู้สมัครก่อนจะถึงวันเลือกตั้งจริง

ช่วงระยะเวลาที่ 2 คือ ช่วงหลังวันลงคะแนนเลือกตั้งแต่ก่อนวันประกาศผลการลงคะแนน โดยระหว่างช่วงระยะเวลาดังกล่าว นอกจาก กกต.จะมีอำนาจในการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเช่นเดียวกับช่วงก่อนวันลงคะแนนเลือกตั้งแล้ว ในกรณีที่ กกต. เห็นว่าการเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม หรือการนับคะแนนเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง กกต.ยังมีอำนาจในการงดการประกาศผลการเลือกตั้งและสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้ ทั้งนี้ ถ้า กกต.ได้ออกคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในช่วงระยะเวลาหลังวันเลือกตั้ง และเป็นการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งอยู่ในลำดับที่จะชนะการเลือกตั้งในเขตนั้นแล้ว กกต.จะต้องมีคำสั่งให้มีการจัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่ เพื่อให้ได้ผู้รับเลือกตั้งครบจำนวนที่จะพึงมีในเขตเลือกตั้งนั้นๆ โดยที่ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ครั้งนั้นด้วย

ช่วงระยะเวลาที่ 3 คือ ช่วงหลังจากประกาศผลการลงคะแนนไปแล้ว การสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่และการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในช่วงเวลานี้จะไม่ใช่อำนาจของ กกต. แต่จะเป็นอำนาจของศาลฎีกา โดยหลักเกณฑ์ในการดำเนินการคือ เมื่อ กกต.ทำการสืบสวนสอบสวนแล้ว ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใดหรือผู้สมัครผู้ใดกระทำการใดๆ โดยไม่สุจริตเพื่อที่จะให้ตนเองได้รับเลือกตั้ง หรือได้รับเลือกตั้งมาโดยไม่สุจริต โดยผลของการที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดได้กระทำ และเป็นการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายเลือกตั้งแล้ว ให้ กกต.ยื่นคำร้องขอต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณา และถ้าศาลฎีกาไต่สวนแล้วเห็นว่ามีเหตุอันควรเชื่อได้ตามคำร้องของ กกต. ให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้สมัครนั้นมีกำหนด 5 ปี ซึ่งจากบทบัญญัติดังกล่าวนี้จะเห็นได้ว่าหากว่าถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหลังการประกาศผลการเลือกตั้งไปแล้ว ระยะเวลาที่ถูกเพิกถอนสิทธิดังกล่าวจะยาวนานกว่ากรณีถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งก่อนการประกาศผลการเลือกตั้ง

สำหรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2554 ที่ผ่านมานี้ ปรากฏว่าในช่วงก่อนวันเลือกตั้งนั้นได้มีการร้องเรียนแจ้งเบาะแสการทุจริตเป็นจำนวนถึงกว่า 400 เรื่อง และยังไม่ปรากฏว่า กกต.ได้มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งรายใด จึงเป็นที่น่าติดตามต่อไปว่าหลังจากนี้ กกต. หรือศาลฎีกา จะมีการสั่งลงโทษให้จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งที่กระทำการทุจริตเลือกตั้งเป็นจำนวนมากน้อยเพียงใด

ทั้งนี้ ในการดำเนินการประกาศผลการเลือกตั้งของ กกต.นั้น ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตว่า ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 127 ประกอบมาตรา 93 ได้กำหนดให้ต้องมีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรกภายใน 30 วัน นับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยในการเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรกนั้นจะต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ดังนั้นแล้ว กกต.จึงต้องดำเนินการประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ได้ครบตามจำนวนดังกล่าวภายใน 30 วัน นับแต่วันเลือกตั้งเพื่อให้สามารถเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรกได้ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้

นอกจากนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับหน่วยงานที่มีอำนาจในการดำเนินการออกคำสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่และการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนั้น ผู้เขียนมีข้อเสนอแนะ 2 ประการ ดังต่อไปนี้ ประการแรก เนื่องจากคำสั่งของ กกต. ในการลงโทษผู้สมัครรับเลือกตั้งนั้นจะถึงที่สุด จึงอาจเป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่สามารถอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งของ กกต.ได้ อีกทั้งทำให้ไม่มีการตรวจสอบกลั่นกรองการออกคำสั่งของ กกต.อีกด้วย ผู้เขียนจึงมีความเห็นว่าควรจะมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและกลั่นกรองคำสั่งของ กกต.อีกชั้นหนึ่ง โดยอาจจะกำหนดให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถอุทธรณ์คำสั่งของ กกต.ต่อศาลฎีกา และศาลฎีกาก็ต้องดำเนินการพิจารณามีคำสั่งด้วยความรวดเร็วเพื่อเป็นการให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย

ประการที่สอง ในส่วนที่กฎหมายได้กำหนดให้ศาลฎีกามีอำนาจในการออกคำสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่และการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่าโดยบทบาทของศาลฎีกา ซึ่งเป็นฝ่ายตุลาการนั้น เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานและการใช้อำนาจของหน่วยงานต่างๆ ดังนั้นแล้วกฎหมายจึงไม่ควรกำหนดให้ศาลฎีกาต้องมีบทบาทในการออกคำสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่และการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเสียเอง เพราะจะเป็นการขัดต่อบทบาทหน้าที่ของฝ่ายตุลาการได้ กฎหมายจึงควรจะกำหนดให้ กกต.มีอำนาจในการออกคำสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่และการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งทั้งช่วงก่อนและหลังการประกาศผลการเลือกตั้ง และให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถอุทธรณ์คำสั่งของ กกต.ไปยังศาลฎีกาได้

ท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนเห็นว่าการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม ถือได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความก้าวหน้าของประชาธิปไตยภายในประเทศ ทุกภาคส่วนควรจะมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะด้วยวิธีการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งอย่างเข้มงวดและมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงวิธีการอื่นๆ นอกจากกฎหมาย เช่น ให้หน่วยงานของภาครัฐและเอกชนรณรงค์และให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการเลือกตั้ง อีกทั้งภาคประชาชนก็ควรจะมีส่วนร่วมทางการเมืองในการตรวจสอบและแจ้งเบาะแสการทุจริตการเลือกตั้ง เพื่อจะเป็นประโยชน์แก่ กกต.ในการสืบสวนสอบสวน ดำเนินการออกคำสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และทำให้ประเทศไทยมีการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรมต่อไป

 

Thailand Web Stat