โรคนอนไม่หลับ (Insomnia)
โดยทั่วไปคนปกติอาจจะมีอาการนอนไม่หลับ 1 หรือ 2 คืน/อาทิตย์ ซึ่งพบได้ถึงประมาณ 30-50% แต่บางครั้งอาจเกิดขึ้นนานเป็นสัปดาห์
โดย...ผศ.พญ.นฤชา จิรกาลวสาน ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์นิทราเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
โดยทั่วไปคนปกติอาจจะมีอาการนอนไม่หลับ 1 หรือ 2 คืน/อาทิตย์ ซึ่งพบได้ถึงประมาณ 30-50% แต่บางครั้งอาจเกิดขึ้นนานเป็นสัปดาห์ เดือนหรือปี หรือที่เรียกว่า โรคนอนไม่หลับเรื้อรัง (Chronic Insomnia) โดยจะพบได้ประมาณ 10-15% โรคนอนไม่หลับมักเป็นในผู้หญิงและผู้สูงอายุ พบว่าในผู้สูงอายุ (อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป) พบอุบัติการณ์โรคนอนไม่หลับได้ถึง 28%
โรคนอนไม่หลับสามารถแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ คือ 1.ใช้เวลานานกว่าจะหลับ 2.ตื่นมาแล้วกลับไปหลับต่อได้ยาก 3.ตื่นเช้าเกินไปแล้วกลับไปหลับต่อไม่ได้ โดยทั่วไปถ้าใช้เวลามากกว่า 30 นาทีขึ้นไปกว่าจะนอนหลับ จะถือว่าผิดปกติ โดยถ้าอาการนั้นพบตั้งแต่ 3 ครั้ง/อาทิตย์ขึ้นไป ร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น อ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิ ความจำไม่ดี เข้าสังคมไม่ได้ดี มีปัญหากับครอบครัว การทำงาน ง่วงนอนตอนกลางวัน พฤติกรรมผิดปกติ หมดเรี่ยวแรง ไม่มีกำลัง ทำงานผิดพลาดได้ง่าย หรือกังวลมากกับโรคนอนไม่หลับ จะเข้าเกณฑ์ของการเป็นโรคนอนไม่หลับ
ชนิดของโรคนอนไม่หลับ แบ่งออกได้เป็น
1.โรคนอนไม่หลับจากปัญหาการปรับตัว หรือโรคนอนไม่หลับระยะสั้น โดยพบว่าอาการนอนไม่หลับเป็นมาน้อยกว่า 3 เดือน โรคนอนไม่หลับชนิดนี้มักเกิดจากความตื่นเต้นหรือความเครียด เช่น การเปลี่ยนงาน การสอบ แต่เมื่อสถานการณ์ความตึงเครียดผ่อนคลายหรือปรับการนอนหลับได้
2.โรคนอนไม่หลับเรื้อรัง เป็นการนอนไม่หลับที่เป็นมานานตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป อาจเกิดจากภาวะทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรคเครียด ภาวะทางร่างกาย เช่น โรคต่อมลูกหมากโต โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เป็นต้น หรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาหรือสารบางชนิด เช่น แอลกอฮอล์ แต่ก็มีผู้ป่วยบางส่วนที่ไม่พบสาเหตุ
การรักษานั้นสามารถแบ่งได้เป็น
1.การรักษาสาเหตุที่อาจเกี่ยวข้อง เช่น โรคนอนไม่หลับจากการที่มีภาวะหอบเหนื่อยจากโรคหืด หัวใจวาย ต่อมลูกหมากโต เป็นต้น
2.การรักษาโดยการใช้ยา มียาอยู่หลายกลุ่มที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยนอนหลับได้ โดยควรมีการปรึกษาแพทย์ก่อนพิจารณาใช้ยานอนหลับในกลุ่มนี้ เช่น ยานอนหลับกลุ่มเบนโซไดอาซิพีน ยานอนหลับกลุ่มที่ไม่ใช่เบนโซไดอาซิพีน ยากลุ่มเมลาโตนิน โดยทั่วไปยากลุ่มนี้ค่อนข้างปลอดภัย แต่ประสิทธิภาพอาจไม่ดีมาก
3.การรักษาโดยการปรับพฤติกรรม เป็นวิธีการรักษาที่สำคัญมาก พบว่าได้ผลในระยะยาวดีกว่าการใช้ยา การรักษาโดยการปรับพฤติกรรมประกอบไปด้วย
3.1 การลดสิ่งกระตุ้น โดยหลักการคือห้ามใช้เตียงนอนทำกิจกรรมอื่น นอกจากการนอนหลับ หมายถึง ห้ามอ่านหนังสือ ห้ามดูโทรทัศน์ รับประทานอาหาร พูดคุยโต้เถียงบนเตียงนอน (กิจกรรมทางเพศ ถือเป็นข้อยกเว้น สามารถทำได้) โดยจะแนะนำว่า ถ้าพบว่าตนเองนอนบนเตียงมากกว่า 15-20 นาที แล้วยังไม่หลับ ผู้ป่วยควรจะลุกออกจากเตียง แล้วให้หากิจกรรมที่เงียบสงบที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เช่น อ่านหนังสือธรรมะ อ่านนวนิยาย ฟังเพลง แต่ห้ามออกกำลังกาย ห้ามรับประทานอาหาร ห้ามสูบบุหรี่ ห้ามอาบน้ำอุ่น
3.2 การปรับสุขนิสัยการนอนหลับ ประกอบไปด้วยการเข้านอน-ตื่นนอนเวลาเดิมสม่ำเสมอทั้งในวันทำงานและวันหยุด หลีกเลี่ยงแสงที่เข้าตา เช่น แสงจากคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ โทรศัพท์ ช่วงใกล้เวลาเข้านอน ไม่ควรออกกำลังกายหรืออาบน้ำใกล้เวลาเข้านอน ไม่ควรปล่อยให้หิวก่อนนอน แต่ก็ไม่ควรรับประทานอาหารมื้อใหญ่ใกล้เวลาเข้านอน ไม่ดื่มน้ำใกล้เวลานอนเกิน 1 แก้ว เพราะจะทำให้ตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืน หลีกเลี่ยงการงีบช่วงกลางวัน เพราะจะทำให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืน เป็นต้น
3.3 การใช้เทคนิคอื่นๆ ในการช่วยให้นอนหลับ เช่น การผ่อนคลาย อันได้แก่ การนั่งสมาธิ เทคนิคการจินตนาการ โดยอาจคิดถึงสถานที่ที่รู้สึกผ่อนคลาย เช่น ทะเล ภูเขา เทคนิคการคิดกลับ โดยให้ผู้ป่วยแทนที่จะพยายามหลับให้พยายามตื่นแทน เพื่อลดความกังวล ความตั้งใจที่จะพยายามนอนหลับและเทคนิคการเปลี่ยนความคิด โดยให้เปลี่ยนความคิด ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการนอนหลับ เช่น การพยายามตั้งใจมุ่งมั่นที่จะหลับจะทำให้หลับได้ดีขึ้น หรือการที่คิดว่าจะต้องนอนให้ได้ 8 ชั่วโมงถึงจะเพียงพอ เป็นต้น
โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้หลายๆ เทคนิคประกอบกันในการรักษาโรคนอนไม่หลับ มีข้อมูลวิจัยที่พบว่าโรคนอนไม่หลับเพิ่มโอกาสการเป็นโรคซึมเศร้าได้ถึง 2 เท่า นอกจากนั้นยังมีข้อมูลว่าโรคนอนไม่หลับอาจเพิ่มโอกาสการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ภาวะหัวใจวาย ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และอาจเพิ่มอัตราการเสียชีวิต โดยเฉพาะถ้าสัมพันธ์กับการนอนหลับที่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง โรคนอนไม่หลับจึงเป็นโรคที่สำคัญควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง