"วรเจตน์"ชำแหละศาลรธน.อำนาจล้น-ตีความกว้าง ทำการเมืองไม่นิ่ง
อ.วรเจตน์ วิเคราะห์พัฒนาการศาลรัฐธรรมนูญในแต่ละยุค เผย รธน. 60 เพิ่มอำนาจ ทำการเมืองไม่นิ่ง ชี้ตีความ "ศีลธรรม" "ซื่อสัตย์สุจริต" คลุมเครือ เปิดช่องดุลพินิจสูง
ศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ร่วมให้มุมมองในงานสัมมนาวิชาการ เนื่องในโอกาสครบรอบ 27 ปี ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเน้นถึงพัฒนาการของศาลรัฐธรรมนูญ บทบาท และประเด็นที่น่าสนใจทางกฎหมาย
ดร.วรเจตน์ กล่าวว่าการประเมินผลงานของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากศาลฯ มีพัฒนาการเป็นช่วง ๆ ไม่ได้ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องเป็นเนื้อเดียวกัน โดยแบ่งพัฒนาการของศาลฯ ออกเป็น 3 ช่วงหลัก ๆ คือ
ช่วงแรก (รัฐธรรมนูญ 2540): เป็นช่วงก่อตั้ง มีปัญหาเรื่องกฎหมายวิธีพิจารณา และความเข้าใจสถานะของศาลฯ ที่ยังไม่ชัดเจน
ช่วงกลาง (รัฐธรรมนูญ 2550): ศาลฯ มีบทบาททางการเมืองมากขึ้น จากบริบทของ "ตุลาการภิวัฒน์" และมีคำวินิจฉัยที่ส่งผลกระทบต่อการเมือง
ช่วงปัจจุบัน (รัฐธรรมนูญ 2560): รัฐธรรมนูญ 2560 ได้รับรองสิ่งที่ศาลฯ เคยตีความไว้ ทำให้บทบาทและอำนาจของศาลฯ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการตีความคุณสมบัติของบุคคล ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่แน่นอนทางการเมือง
ดร.วรเจตน์ ได้ยกตัวอย่างคดีสำคัญและประเด็นที่น่าสนใจทางกฎหมาย เช่น
- คดีเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ: การตีความเรื่อง "การล้มล้างการปกครอง"
- คดีทำแท้ง: ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทของศาลฯ ในการแก้ไขปัญหาทางสังคมที่แก้ไขได้ยากผ่านกลไกทางการเมือง
- คดีพระราชกำหนดอุ้มหาย: ซึ่งมีประเด็นเรื่องความสอดคล้องของคำบังคับกับตัวบทรัฐธรรมนูญ
- คดีอดีตนายกฯ เกี่ยวกับความหมายของ "ลูกจ้าง": ซึ่งมีประเด็นเรื่องความเป็นทั่วไป (generality) ของการตีความ
นอกจากนี้ ดร.วรเจตน์ ยังได้เสนอแนะถึงแนวทางการปรับปรุงและพัฒนาศาลรัฐธรรมนูญในอนาคต เช่น
- การปรับปรุงกฎหมายวิธีพิจารณา: ให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับสถานะของศาลฯ
- การทบทวนระบบการทำความเห็นส่วนตน: เพื่อส่งเสริมการสร้างความเชี่ยวชาญและความรับผิดชอบในการพิจารณาคดี
- การปรับปรุงหลักเกณฑ์ทางกฎหมาย: ในบางเรื่องที่ยังมีความคลุมเครือ