"ดร.ณัฏฐ์"แฉ"พีระพันธุ์" กู้ รพีโสภาค 14ล้านเสี่ยงหลุดเก้าอี้

29 เมษายน 2568

ดร.ณัฏฐ์ นักกฎหมายมหาชน เจาะงบดุลรพีโสภาค แฉรองนายกฯพีระพันธุ์กู้เงินบริษัท 14ล้านระหว่างเป็นรัฐมนตรี เสี่ยงหลุดเก้าอี้พ่วงถูกดำเนินคดีอาญา

จากกระแสร้อนแรงกรณี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน ถูกตรวจสอบเรื่องการเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทเอกชน แม้จะทำสัญญาบริหารจัดการแล้วก็ตาม จนถูกจับตาว่าจะสุ่มเสี่ยงต่อการหลุดจากตำแหน่งหรือไม่ 

ล่าสุด ดร.ณัฏฐ์ ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ออกมาให้ความเห็นในประเด็นนี้ โดยเน้นย้ำถึงหลักการทางกฎหมายมหาชนที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

ดร.ณัฏฐ์ ระบุว่า ตนเองไม่รู้จักกับทั้งนายพีระพันธุ์และนายสนธิญา สวัสดี ผู้เปิดประเด็น แต่จะให้ความรู้ทางกฎหมายเพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาตามหลักรัฐธรรมนูญ ซึ่งบัญญัติคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรีไว้อย่างชัดเจน หากข้อเท็จจริงปรากฏว่านายพีระพันธุ์ฝ่าฝืนมาตรา 187 จริง สถานะรัฐมนตรีก็จะสิ้นสุดลง และอาจถูก ป.ป.ช. ดำเนินคดีอาญา

รวมถึงผิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง แม้จะเป็นนักกฎหมายเก่งกาจตามที่นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ออกมาปกป้อง ก็ไม่อาจรอดพ้นข้อเท็จจริงเรื่องการเป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้น ซึ่งวัดกันที่เอกสารของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ไม่ใช่พยานบุคคลที่อาจบิดเบือนได้
 

จากการตรวจสอบข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ระหว่างดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ปัจจุบัน นายพีระพันธุ์ยังมีสถานะเป็นเจ้าของหรือกรรมการของ บริษัท รพีโสภาค จำกัด ที่ยังดำเนินกิจการอยู่ ดร.ณัฏฐ ตั้งคำถามว่า นายพีระพันธุ์จะชี้แจงสังคมในประเด็นนี้อย่างไร

ที่สำคัญคือ นายพีระพันธุ์ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการมาตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี และก่อนรัฐธรรมนูญปี 2560 บังคับใช้ โดยมีมารดาคือ นางโสภาพรรณ สาลีรัฐวิภาค เป็นกรรมการร่วม ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ปี 2558 แต่ปรากฏว่านายพีระพันธุ์ยังคงเป็นเจ้าของ และไม่ได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงสถานะกรรมการบริษัท ทำให้ยังมีชื่อผู้ตายเป็นกรรมการอยู่ ดร.ณัฏฐ ฝากถามนายสุชาติฯ ให้สอบถามนายพีระพันธุ์ถึงเหตุผลที่ไม่ดำเนินการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

ยิ่งไปกว่านั้น ดร.ณัฏฐ ยังตรวจสอบพบว่า บริษัท รพีโสภาค จำกัด ในการดำเนินกิจการ ต้องดำเนินการผ่านกรรมการผู้จัดการ และต้องรับรองงบดุลประจำปี ซึ่งจากงบการเงินปี 2567 พบว่า เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2566 บริษัทได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 14 ล้านบาท ภายหลังการเสียชีวิตของนางโสภาพรรณฯ คำถามคือ ใครเป็นผู้ลงนาม หากไม่ใช่กรรมการที่เหลืออยู่ คือ นายพีระพันธุ์ ซึ่งเป็นกรรมการที่มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว
 

ข้อเท็จจริงนี้แสดงให้เห็นว่า ในขณะที่นายพีระพันธุ์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลเศรษฐาฯ ยังคงใช้สถานะเป็นกรรมการ บริษัท รพีโสภาค จำกัด ซึ่งอาจเข้าข่ายการยุ่งเกี่ยวกับการบริหารจัดการบริษัท อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 187 วรรคสาม และยังต้องตอบคำถามว่าการกระทำดังกล่าวต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตรหรือไม่

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ว่า นายพีระพันธุ์ได้แจ้งต่อสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีว่าไม่เคยเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้น ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลที่ตรวจสอบพบ รวมถึงประเด็นเงินกู้ระยะสั้น 14 ล้านบาท ที่ต้องชี้แจงต่อ ป.ป.ช. ในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินด้วย

ดร.ณัฏฐ ย้ำว่า มาตรา 187 วรรคหนึ่ง ห้ามรัฐมนตรีเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท เว้นแต่จะแจ้งต่อประธาน ป.ป.ช. และโอนหุ้นทั้งหมดให้แก่นิติบุคคลที่ขึ้นทะเบียนเพื่อบริหารจัดการผลประโยชน์เพื่อบุคคลอื่น แม้จะมีการทำสัญญากับนิติบุคคลภายนอก แต่หากยังคงสถานะเป็นกรรมการที่มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการบริหารจัดการบริษัท ก็ยังถือว่าต้องห้ามตามกฎหมาย

หากพิจารณาเจตนารมณ์ของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 เป็นบทบัญญัติห้ามรัฐมนตรีเด็ดขาดในการเป็นเจ้าของห้างหุ้นส่วน หรือกรรมการบริษัท และผู้ถือหุ้น อันเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน สถานะความเป็นเจ้าของหรือกรรมการบริษัทจึงไม่แตกต่างจากห้างหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

เมื่อข้อเท็จจริงจากเอกสารชัดเจนว่า นายพีระพันธุ์ยังมีสถานะเป็นกรรมการบริษัท รพีโสภาค จำกัด และมีอำนาจหลักแต่เพียงผู้เดียวในการบริหารจัดการภายในกิจการของบริษัท เช่น การรับรองงบการเงินประจำปี ถือเป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 5 วรรคหนึ่ง อันเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 หรือไม่ เป็นคำถามที่สังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องพิจารณาอย่างละเอียด
 

Thailand Web Stat