posttoday

72 ปีกับการสร้างชาติมังกร "จีน" ผงาดไปไกลแค่ไหน?

05 ตุลาคม 2564

1 ตุลาคมของทุกๆปีนอกจากเป็นวันชาติจีนแล้ว ยังเป็นการระลึกถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เข้าสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ โดยในปีนี้ครบรอบ 72 ปีที่แผ่นดินใหญ่ถูกปกครองอยู่ภายใต้ระบอบนี้ และเป็น 72 ปีแห่งการสร้างชาติ ที่นำจีนผงาดและเป็นมหาอำนาจบนเวทีโลก

Highlights

  • ครบรอบ 72 ปีการสถาปณาสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยอดีตประธานาธิบดีเหมา เจ๋อตุงผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ทำให้แผ่นดินใหญ่ปกครองภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์มาจนถึงปัจจุบัน
  • กว่าจีนจะก้าวมาผงาดอยู่แนวหน้าบนเวทีโลกเฉกเช่นปัจจุบัน ต้องเผชิญปัญหารุมเร้าจากทั้งในและต่างชาติ จนกระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนประกาศชัยชนะ
  • ปัญหาเศรษฐกิจที่ได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่องมาหลายสิบปี ทำให้จีนพุ่งทะยานสู่มหาอำนาจของโลก แต่ก็ยังมีปัญหาที่น่าจับตามองอยู่ไม่น้อย หากจีนต้องการจะเป็นประเทศมหาอำนาจต่อจากสหรัฐอเมริกา

--------------------

          ก่อนที่จีนจะเป็นมหาอำนาจของโลกและมีวันชาติประจำ 1 ตุลาคมอย่างเช่นทุกวันนี้ เส้นทางก่อนการปฏิรูปการปกครองนั้นไม่ง่ายเลย นอกจากการถูกกดทับจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การแตกกันเป็นกลุ่มก้อนต่างๆและความขัดแย้งกันเองภายในประเทศ ที่ทำให้นโยบายรวมจีนเป็นหนึ่งเดียวดำเนินการได้อย่างยากลำบาก แต่ท้ายที่สุด แม้ว่าการต่อสู้จะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ได้รับชัยชนะมาตลอด 72 ปีในแผ่นดินใหญ่นับตั้งแต่การสถาปนาเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 1 ตุลาคม 1949 ซึ่งทำให้จีนเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกในปัจจุบัน แล้วในอนาคตจีนมีเป้าหมายในการดำเนินประเทศอย่างไร ที่จะทำให้ผงาดได้ไกลกว่านี้? 

ดร.ซุนยัดเซ็น ผู้โค่นล้มราชวงศ์ชิง และนำจีนสู่ประชาธิปไตยในช่วงวาระหนึ่ง ก่อนจะมาเป็นวันชาติจีนอย่างทุกวันนี้
          ก่อนที่จีนจะมียุคสาธารณรัฐประชาชนจีนและมีวันชาติทุก 1 ตุลาคมอย่างทุกวันนี้ แผ่นดินจีนถูกปกครองจากราชวงศ์ต่างๆมานานนับพันปี ซึ่งในยุคราชวงศ์สุดท้ายอย่างราชวงศ์ชิง อำนาจขององค์จักรพรรดิแมนจูมีความอ่อนลงมาก เนื่องจากเป็นผู้นำที่ขาดศักยภาพในการปกครองแผ่นดินจีน ภายในวังเองก็มีความขัดแย้งแย่งชิงอำนาจกันอยู่มาก สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนตกต่ำลงเรื่อย ๆ  ในขณะเดียวกันต่างชาติเองก็เริ่มมีอิทธิพลเข้ามาแทรกแซง 

          “การปฏิวัติซินไฮ่” ในปี 1911 เพื่อโค่นล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จากราชวงศ์ชิง นำโดยดร. ซุนยัดเซ็น หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง จึงได้ถือกำเนิดขึ้น หลังจากคณะปฏิวัติประสบความสำเร็จในการโค่นล้มราชวงศ์ชิงแล้ว แผ่นดินจีนได้รับการปกครองภายใต้ประชาธิปไตยอยู่เพียงชั่วครู่ ก็ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนถ่ายอำนาจใหม่เมื่อดร. ซุนยัดเซ็นถึงแก่อสัญกรรม อำนาจใหม่ที่เปลี่ยนผ่านนั้นสร้างความขัดแย้งภายในพรรคอยู่พอสมควร เมื่อ “หวัง ชิงไหว” ผู้นำคนใหม่มีแนวคิดที่ค่อนไปทางคอมมิวนิสต์พอสมควร มือขวาคนสนิทที่จะสืบทอดอุดมการณ์ประชาธิปไตย “เจียง ไคเช็ค” มีอันต้องออกโรงขัดขวางพรรคคอมมิวนิสต์อยู่ร่ำไปแต่ต้องไม่ละทิ้งอุดมการณ์รวมจีนเป็นหนึ่งเดียว 


          ก่อนเจียง ไคเช็ค จะสามารถรวมชาติจีนเป็นหนี่งเดียวได้ การตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ก็เกิดขึ้น เมื่อเจียง ไคเช็คสั่งให้จัดการกวาดล้างพรรคคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรงที่สุด จนมีการสังหารหมู่เกิดขึ้นกลางกรุงเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Massacre) เกิดขึ้น “เหมา เจ๋อตุง” ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ในขณะนั้นต้องการให้แผ่นดินจีนปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ ภายใต้คำขวัญ "รับใช้ประชาชน" ประธานเหมาสามารถรวบรวมกองกำลังจากประชาชนได้จำนวนมาก โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชนชั้นเกษตรกร และคนจนที่ถูกขูดรีดภาษีและต้องการปลดแอกจากวังวนนี้ แม้พรรคคอมมิวนิสต์จะไม่ได้รับชัยชนะในทันที แต่ด้วยแรงสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เจียง ไคเช็ค จึงต้องค่อยๆเพลี่ยงพล้ำอำนาจไป จนต้องลี้ภัยไปยังเกาะไต้หวัน ส่วนผู้ได้รับชัยชนะอย่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่นำโดยประธานเหมา ก็กุมอำนาจการปกครองแผ่นดินใหญ่ และสถาปนาเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 1 ตุลาคม 1949 มาจนถึงปัจจุบัน
ภาพอดีตประธานาธิบดีเหมา เจ๋อตุง หน้าจัตุรัสเทียนอันเหมิน

สร้างโลกใหม่ใต้การนำของคอมมิวนิสต์
          ในขณะที่กระแสประชาธิปไตยเริ่มลุกลามไปทั่วโลก ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา พรรคคอมมิวนิสต์ต้องเผชิญกับความท้าทายเป็นอย่างมากจากทั้งคนในชาติและนานาชาติ พรรคคอมมิวนิสต์จะล่มสลายไปไหม? จีนจะเปลี่ยนการปกครองเป็นประชาธิปไตยตามกระแสโลกหรือไม่? แต่คิดว่าเราคงเห็นกันพอสมควรแล้วว่าแม้ระยะเวลาจะผ่านมาแค่ไหน แผ่นดินจีนยังคงยึดมั่นในการปกครองแบบคอมมิวนิสต์อย่างไม่เปลี่ยนแปลง 

 

          ในยุคประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” คำขวัญ "รับใช้ประชาชน" โดยเหมา เจ๋อตุง ได้ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชน นอกจากนี้ท่านประธานสี ยังมีการจัดสร้างสื่อชวนเชื่อต่างๆให้กับประชาชน เพื่อหว่านล้อมให้เห็นว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนทุ่มเททำงานเพื่อประชาชนมากแค่ไหน 

 

          "การปฏิรูปตัวเอง" หนึ่งในโครงการต้านทุจริตที่ใหญ่ที่สุดของจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ดูจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประชาชนชาวจีน ท่ามกลางวิกฤตของประเทศที่ต้องรับมรสุมมากมายจากทั้งในและนอกประเทศ ท่านประธานสีดูมีความพยายามอย่างยิ่งยวดในการหลอมรวมคนในชาติให้เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นแผ่นดินจีน โดยเชื่อว่าการสร้างปลูกฝังความรักชาติเช่นนี้ จะทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ได้ปกครองแผ่นดินจีนต่อไป 
ประธานาธิบดี เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้สานต่อนโยบาย 4 ทันสมัย (Four Modernizations) การปฏิรูปการปกครอง สร้างความยิ่งใหญ่ให้จีนจริงหรือไม่?
          จากการประกาศชัยชนะโดยผู้นำคอมมิวนิสต์อย่าง เหมา เจ๋อตุง ในวันที่ 1 ตุลาคม 1949 ใช่ว่าจีนจะประสบความสำเร็จเลยในทันทีเหมือนอย่างทุกวันนี้ เนื่องจากการปฏิรูปเศรษฐกิจ ท่านผู้นำเหมาล้มเหลวในการบริหารอย่างสิ้นเชิง เมื่อระบบเศรษฐกิจจีนเริ่มพังพินาศ ประชากรก็ต้องอดอยากล้มตายกันอีกครั้ง จึงเป็นดั่งรอยแผลเป็นในประวัติศาสตร์จีนมาจนถึงทุกวันนี้

 

          การปฏิรูปเศรษฐกิจเป็นปัญหาหลักที่ผู้สืบทอดในรุ่นถัดไปอย่าง “เติ้ง เสี่ยวผิง” ต้องรีบแก้ไขและกอบกู้ชื่อเสียงเพื่อความอยู่รอดของพรรคคอมมิวนิสต์อีกครั้ง การนำยุทธวิถีกลไกทางตลาดอย่างทุนนิยมมาใช้ร่วมกับสังคมนิยมจึงได้เกิดขึ้น เติ้ง เสี่ยวผิง ได้วางยุทธศาสตร์นโยบายการบริหารประเทศใหม่ สานต่อนโยบาย 4 ทันสมัย (Four Modernizations) จากแนวคิดของ โจว เอินไหล จนสามารถเปิดประเทศรับเม็ดเงินจากต่างชาติได้ และด้วยการนี้เองจีนจึงพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดและก้าวทะยานสู่แนวหน้าของเศรษฐกิจโลก ปัญหายิบย่อยตกค้างต่างๆจากทุนนิยมเช่น ปัญหาด้านมลพิษและสิ่งแวดล้อม หรือความเหลื่อมล้ำในชนบท ก็ค่อยๆถูกแก้ไขตามมาในยุคผู้นำคนถัดไป 

 

          ปัญหาเศรษฐกิจทุกอย่างถูกแก้ไขมาเรื่อย ๆจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์แบบในยุคของประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง และในวันที่ 1 กรกฎาคม 2021 ที่ผ่านมา สาธารณะประชาชนจีนเพิ่งประกาศเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของการสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์ไป พร้อมยังประกาศกร้าวว่าประชาชนชาวจีนทุกคนได้ก้าวพ้นวิกฤตความยากจนแล้ว รวมถึงเป้าหมายในอีก 100 ถัดไป จีนต้องเป็นประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่ที่ผงาดและยิ่งใหญ่ในทุกๆมิติของโลก
ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ผู้ประกาศว่าอีก 100 ปี จีนต้องเป็นสังคมนิยมสมัยใหม่ สู่ความเป็นมหาอำนาจโดยการบริหารของ สี จิ้น ผิง 
          หากเทียบกับในอดีตราว 100 ปีที่แล้ว การปฏิรูประบอบการปกครองและเศรษฐกิจถือได้ว่าบรรลุเป้าหมายเป็นที่เรียบร้อยและก้าวเข้าสู่ระดับมหาอำนาจของโลกแล้ว แม้เพดานหนี้สาธารณะในประเทศจะยังเป็นที่น่าจับตามอง แต่ภารกิจต่อไปของประธานธิบดี สี จิ้น ผิง ที่อาจส่งผลได้ต่อแผ่นดินจีนในระยะยาวคือการปฏิรูปสังคม ที่ดูทรงแล้วในอนาคตจีนจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มขั้น ซึ่งอาจเป็นปัญหาที่ตามมากับระบบรัฐสวัสดิการ

 

          นอกจากนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศที่ทรงอำนาจต่อจากสหรัฐอเมริกา จีนต้องเร่งดำเนินการด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีให้มากขึ้น ถึงจะมีอำนาจต่อรองและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลกได้ ส่วนเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองว่าจีนจะหันมาสู่ระบอบประชาธิปไตยไหมคงเป็นเรื่องที่หินพอสมควร ในเมื่อท่านประธานาธิบดีสี จิ้น ผิงประกาศก้องแล้วว่าอีก 100 ปีถัดไปต้องเป็นสังคมนิยมสมัยใหม่ ก็มีแนวโน้มว่าระบอบคอมมิวนิสต์จะยังคงวนเวียนในแผ่นดินใหญ่ต่ออีกหลายชั่วอายุคน 

 

ภัคสุภา  รัตนภาชน์
หล่อหลอมตัวเองด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมรอบโลก อาหาร และผู้คน  

--------------------
อ้างอิง: