posttoday

งัดข้อรุ่นพี่ ถึงเจอรุ่นน้องปีนเกลียว : ย้อนรอยเหล่าอริของ เซอร์ ลิวอิส แฮมิลตัน

23 ธันวาคม 2564

ในฐานะว่าที่นักขับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการฟอร์มูล่าวัน เซอร์ ลิวอิส แฮมิลตัน ต้องเจอสารพัดการท้าทายจากคู่แข่ง ตั้งแต่ แชมป์โลกรุ่นพี่ เพื่อนสนิทวัยเด็ก คู่แข่งที่ยอมรับกันและกัน ถึงวันที่เป็นรุ่นใหญ่และโดนรุ่นน้องปีนเกลียว

Highlights

  • เซอร์ ลิวอิส แฮมิลตัน คือนักขับที่ดีที่สุด และมีผลงานสม่ำเสมอที่สุดของวงการฟอร์มูล่าวัน
  • หลังเปิดตัวด้วยตำแหน่งรองแชมป์โลกในปีแรกของการเข้าสู่วงการ แฮมิลตัน ก็กลายเป็นแคนดิเดทสำหรับการลุ้นแชมป์แทบทุกปีที่ลงแข่งขัน
  • 15 ปีในวงการ นักขับชาวอังกฤษสร้างศัตรูและคู่แข่งไว้นับไม่ถ้วน และมีอย่างน้อย 4 รายที่ถือเป็นอริสำคัญในแต่ละช่วงชีวิตนักขับ

 

          แม้จะยังต้องรอต่อไปสำหรับตำแหน่งแชมป์โลกสมัยที่ 8 หลังถูก มักซ์ แวร์สแตพเพน นักขับรุ่นน้องจากทีมเร้ดบูลล์ เบียดคว้าแชมป์ไปครองในฤดูกาลล่าสุด

          แต่ต้องยอมรับว่า เซอร์ ลิวอิส แฮมิลตัน คือว่าที่นักขับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของวงการฟอร์มูล่าวัน และยืนหยัดรักษามาตรฐานที่สูงส่งมาได้ตลอด นับแต่เข้าสู่วงการนี้ เมื่อปี 2007

          ตลอด 15 ปีในวงการ แฮมิลตัน จบใน 2 อันดับแรกถึง 10 ฤดูกาล แม้จะมีช่วงแผ่วไปบ้างในยุค เร้ดบูลล์ ครองเมือง ระหว่างปี 2009-2013

          แต่สุดท้าย นักขับชาวอังกฤษก็คัมแบ็กกลับมาได้อย่างยิ่งใหญ่ จนทำลายเกือบทุกสถิติของ มิชาเอล ชูมัคเกอร์ เหลือเพียงแค่เมื่อไหร่เท่านั้นที่ทุกสถิติจะเปลี่ยนเป็นชื่อของเจ้าตัว

          และการยืนระยะได้นานขนาดนี้ เท่ากับว่า แฮมิลตัน ต้องเผชิญความท้าทายจากคู่แข่งมากมาย โดยเฉพาะบรรดาผู้ท้าชิงทั้งหลายที่พยายามจะโค่นนักขับเบอร์หนึ่งของ เมอร์เซเดส ลงจากตำแหน่งให้ได้

          ไปดูกันว่าที่ผ่านมา มีนักขับรายไหนบ้างที่ถูกจัดให้เป็นคู่แข่งร่วมยุคของว่าที่ตำนานนักขับรายนี้

เฟร์นานโด อลอนโซ
รุ่นพี่ไม่ได้มีไว้เกรงใจ

(เฟร์นานโด อลอนโซ แชมป์โลก 2 สมัย ถูกเด็กใหม่ลูบคม / ภาพจาก thesportsrush.com)

          ย้อนไปในปี 2007 แม็คลาเรน เสริมทีมครั้งสำคัญ ด้วยการดึง เฟร์นานโด อลอนโซ ซึ่งเพิ่งคว้าแชมป์โลกมา 2 สมัยติดกับ เรโนลต์ มาอยู่ด้วย

          ขณะที่ แฮมิลตัน ในวัย 22 ปี ก็เป็นรุกกี้ฝีมือดีที่ได้รับการจับตาเป็นพิเศษ

          มองจากคนนอก นี่ควรจะเป็นการจับคู่ครั้งสำคัญที่จะนำ แม็คลาเรน คว้าแชมป์โลกปีนั้นมาครอง ซึ่งมันก็เกือบเกิดขึ้นจริง

          เมื่อทั้ง อลอนโซ และ แฮมิลตัน ต่างก็ไล่เก็บคะแนนเกาะกลุ่มหัวตารางได้อย่างเหนียวแน่น

          แต่เบื้องหลังกลับพบว่าทั้งคู่มีปัญหากันเอง เมื่อ แฮมิลตัน ในฐานะรุกกี้ ไม่ยอมถอยให้กับ อลอนโซ ที่มีดีกรีแชมป์โลกในเวลานั้น เพราะต่างก็มีโอกาสเป็นแชมป์ตอนจบฤดูกาล

          การแก่งแย่งระหว่างทั้งคู่ ลุกลามไปถึงกลยุทธ์ในสนาม มื่อ อลอนโซ ถูกตัดสินว่าเจตนาบล็อค แฮมิลตัน บริเวณพิตสต็อป ระหว่างแข่งขันในรายการฮังกาเรียน กรังด์ปรีซ์ จนถูกลงโทษ และนำไปสู่การคว้าแชมป์สนามนั้นของรุ่นน้องชาวอังกฤษ

          สุดท้าย การประสานงานกันที่ดีกว่าของ สคูเดเรีย เฟอร์รารี ที่ เฟลิเป มาสซา คอยสนับสนุน  คิมี ไรคโคเนน ตั้งแต่ต้นจนจบฤดูกาล ก็ส่งให้นักขับชาวฟินแลนด์ คว้าแชมป์โลกปีนั้นไปครอง ด้วยการเฉือน ทั้ง แฮมิลตัน และ อลอนโซ ไปเพียงคะแนนเดียว

          ความไม่พอใจที่เกิดขึ้น ทำให้ อลอนโซ ตัดสินใจอำลา แม็คลาเรน กลับไปขับให้ เรโนลต์ อีกครั้งหลังจบฤดูกาล

นิโค รอสเบิร์ก
เพื่อนรักหักเหลี่ยม

(จากเพื่อนซี้วัยเด็ก สู่คู่อาฆาต แฮมิลตัน และ รอสเบิร์ก / ภาพจาก r/formula1)           รอสเบิร์ก และ แฮมิลตัน รู้จักและสนิทกัน ตั้งแต่สมัยเริ่มเข้าสู่วงการในฐานะนักขับโกคาร์ท

          แต่ความสัมพันธ์ที่ดีก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อ แฮมิลตัน ย้ายมาสมทบกับ รอสเบิร์ก ในทีมเมอร์เซเดส เมื่อปี 2013

          เมื่อต่างก็เป็นนักขับดาวรุ่งฝีมือดี การอยู่ร่วมทีมเดียวกัน ทำให้ทั้งคู่ต้องชิงดีชิงเด่นกันเอง เพื่อเป็น "อันดับหนึ่ง" ในทีม ซึ่งเลยเถิดไปสู่ความขัดแย้งอย่างหนัก

​​​​​​​          โดยเฉพาะการลุ้นแชมป์โลกในปี 2014 ที่ถือเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่ดุเดือดที่สุดของวงการเอฟวัน เมื่อมีการกระทบกระทั่งระหว่างทั้งคู่ ที่ บาห์เรน, สเปน และ เบลเยียม ก่อนฤดูกาลจะจบลงโดยตำแหน่งแชมป์เป็นของ แฮมิลตัน

​​​​​​​          จากนั้น สถานะของทั้งคู่ก็เปลี่ยนจากเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมมทีม ไปเป็นคู่แข่งเต็มตัว

​​​​​​​          ความเดือดนั้นระอุถึงขั้น ครั้งหนึ่ง รอสเบิร์ก ระงับอารมณ์ไม่อยู่ โยนหมวกใส่ แฮมิลตัน ในห้องวอร์มดาวน์ จนเป็นที่มาของเหตุการณ์ที่ถูกขนานนามว่า "แฮท เกท" ในปี 2015

​​​​​​​          สุดท้าย เมื่อ รอสเบิร์ก คว้าแชมป์โลกหนแรกในชีวิตมาครอง เมื่อปี 2016 เจ้าตัวก็ประกาศรีไทร์อย่างเป็นทางการ ขณะอายุเพียง 31 ปี เปิดทางให้ แฮมิลตัน ได้เป็นเบอร์หนึ่งของ เมอร์เซเดส ต่อไป

​​​​​​​          รอสเบิร์ก ให้เหตุผลถึงการตัดสินใจรีไทร์ว่ารู้สึกอิ่มตัวกับความสำเร็จแล้ว และการไม่ต้องลงแข่งกับ แฮมิลตัน อีก จะทำให้ทั้งคู่กลับมาเป็นเพื่อนสนิทกันได้อีกครั้ง

 

เซบาสเตียน เวทเทิล
คู่แข่งที่คู่ควร

(ต่างฝ่ายต่างไร้เทียมทานในยุคของตัวเอง แต่ แฮมิลตัน ก็ยอมรับว่า เวทเทิล คือคู่แข่งที่ตนยอมรับในฝีมือ / ภาพ Getty Images)           แฮมิลตัน ยอมรับว่าในบรรดาคู่ปรับที่ขับเคี่ยวกันมานั้น เซบาสเตียน เวทเทิล แชมป์โลก 4 สมัย คือคนที่ตนประทับใจที่สุด และเชื่อว่าต่างฝ่ายมีส่วนขัดเกลากันและกัน จนพัฒนาฝีมือไปอีกระดับ

          ในปีแรกที่ แฮมิลตัน คว้าแชมป์โลก เวทเทิล คือนักขับดาวรุ่งของ เร้ดบูลล์ ที่จบฤดูกาลนั้นในตำแหน่งรองแชมป์

          ก่อนที่ในปีถัดมา เขาจะโค่น แฮมิลตัน ลงได้สำเร็จ และครองความยิ่งใหญ่ไว้ได้ถึง 4 สมัยติดต่อกัน

          แต่ช่วงเวลาที่เข้มข้นจริง ๆ ระหว่างทั้งคู่ เกิดขึ้นในช่วงที่ฟอร์มของ แฮมิลตัน ขึ้นถึงจุดสูงสุด ขณะที่ เวทเทิล ย้ายไปสคูเดเรีย เฟอร์รารี เพื่อฟื้นฟูอดีตยักษ์ใหญ่ให้กลับมา โดยเฉพาะในฤดูกาล 2017 และ 2018 ที่ เวทเทิล ขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงแบบเต็มตัว

          หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทั้งคู่ปะทะกันทั้งในและนอกสนาม เกิดขึ้นในรายการ อาเซอร์ไบจาน กรังด์ปรีซ์ 2017 เมื่อ เวทเทิล ไม่พอใจที่ แฮมิลตัน แกล้งเบรคให้รถสะดุดหลายครั้ง ระหว่างขับตามเซฟตี้คาร์ จนตบะแตก ขับชนอีกฝ่ายจนถูกลงโทษ 10 วินาที

          แม้สุดท้าย เวทเทิล จะคว้าแชมป์ที่สนามนั้น แต่ไม่เพียงพอจะหยุดความร้อนแรงของ เมอร์เซเดส และ แฮมิลตัน เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลได้อยู่ดี

 

มักซ์ แวร์สแตพเพน
รุ่นน้องปีนเกลียว

(เคยเป็นฝ่ายท้าทายรุ่นใหญ่มาก่อน ตอนนี้ถึงคราว แฮมิลตัน ถูกเด็กอย่าง เวอร์สแตพเพน ลูบคมบ้าง / ภาพจาก AFP)

          หลังขึ้นเป็นรุ่นใหญ่เต็มตัว ก็ถึงคราวที่ แฮมิลตัน จะต้องถูกท้าทายโดยนักขับรุ่นน้องบ้าง

          ครั้งนี้เป็นคิวของ มักซ์ แวร์สแตพเพน นักขับดาวรุ่งชาวดัตช์จาก เร้ดบูลล์ ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงในฤดูกาลล่าสุด

          และก็เป็นธรรมดาที่การขับเคี่ยวเพื่อตำแหน่งแชมป์โลก จะนำไปสู่การกระทบกระทั่งกันระหว่างสองนักขับต่างวัยเป็นระยะ

          โดยเฉพาะในการแข่งที่ ซิลเวอร์สโตน ที่ แฮมิลตัน ถูกลงโทษจากกรณีเจตนาขับ ให้เกิดการเฉี่ยวชนระหว่างรถทั้งสองคัน จน เร้ดบูลล์ ของ แวร์สแตพเพน หลุดออกนอกสนามไปชนกับแบร์ริเออร์อย่างจัง

          แม้จะถูกบวกเวลาอีก 10 วินาที และต้องถอยไปอยู่ในอันดับ 4 แต่เมื่อปราศจากคู่แข่งสำคัญในสนาม แฮมิลตัน ก็เร่งแซงจนกลับมาเป็นแชมป์ในสนามนั้นได้สำเร็จ พร้อมลดช่องว่างที่ตามหลัง แวร์สแตพเพน ในเวลานั้น จาก 33 เหลือเพียง 8 คะแนน

          แวร์สแตพเพน หัวเสียกับเหตุการณ์นี้มาก เพราะขณะที่ตนต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แฮมิลตัน กลับได้คะแนนสำคัญไปแทน ขณะที่สตาฟฟ์ของ เมอร์เซเดส ก็ฉลองราวกับว่าไม่เกิดอะไรขึ้น

          แต่สุดท้าย แวร์สแตพเพน ก็โค่นแชมป์โลก 7 สมัยลงได้สำเร็จ เมื่อแซง แฮมิลตัน ในรอบสุดท้ายของสนามสุดท้ายที่ อาบู ดาบี จนเป็นแชมป์โลกคนใหม่

          และน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปีนเกลียวระหว่างนักขับสองวัยในฤดูกาลหน้าอย่างแน่นอน

--------------------

ที่มา