Amita Technology Thailand โรงงานผลิตแบตเตอรี Li-on ขนาด 1GWh แห่งแรกในอาเซียน EA พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่พลังงานสะอาดอย่างเต็มตัว
เมื่อหลายสิบปีก่อน การนำพลังงานทางเลือก เช่น พลังงานจากแสงอาทิตย์มาใช้ในชีวิตประจำวัน คงมีให้เห็นอยู่แค่ในนิยาย Sci-fi เท่านั้น สืบเนื่องมาจากข้อจำกัดในการกักเก็บพลังงานเพื่อนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง ใครจะเชื่อว่าวันนี้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่มีโรงงานผลิตแบตเตอรี Li-on ในแบบ Gigafactory หรือ ที่รู้จักกันในนาม Amita Technology Thailand ที่เพิ่งมีงานปฐมฤกษ์เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2564
“โรงงานแห่งนี้ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เราเป็นโรงงานผลิตแบตเตอรี่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มากกว่าสหรัฐฯ ถึง 1.4 เท่า เราต้องการแสดงให้เห็นถึงจุดยืนในการก้าวสู่ยุค Digital Transformation และ Clean Energy Transformation อย่างเต็มตัว หลังจากความพยายามในการผลักดันโครงการนี้มากว่า 15 ปี” สมโภช อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) กล่าว
โรงงาน Gigafactory แห่งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและประเทศไต้หวัน เพื่อตอบสนองนโยบายการประชุมภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 26 หรือ UN Climate Change Conference of the Parties (COP26) ที่มุ่งเน้นการลดจำนวนรถยนต์ที่ใช้พลังงานฟอสซิลไปสู่พลังสะอาดเพื่อลดโลกร้อน และ ลดการผลิตไฟฟ้าด้วยฟอสซิล
“ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาสำคัญระดับโลก การดูแลโลกระยะยาวคือสิ่งที่ต้องนำมาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน การที่ราคาน้ำมันถูกไม่ใช่คำตอบในการให้ใช้น้ำมันต่อไป แต่เราควรหันมาหาวิธีการแก้ปัญหาด้วยการนำพลังงานสะอาดมาใช้ให้เป็นพลังงานหลัก ไม่ใช่ทางเลือก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) กล่าว
จากอดีตพลังงานทนแทนเป็นสิ่งไม่แน่นอน เนื่องจากมีตัวแปรเป็นธรรมชาติที่ไม่สามารถควบคุมได้ อีกทั้งประเทศไทยไม่สามารถผลิตแบตเตอรีในการกักเก็บพลังงานได้เอง จึงต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศซึ่งส่งผลให้มีราคาสูง
“การที่เราเป็นผู้ผลิตเอง นอกจากจะเป็นการลดต้นทุนการผลิตแล้ว เรายังช่วยให้ประเทศไทยมีแบรนด์เป็นของตัวเอง เพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์ไทย แบตเตอรีเป็นชิ้นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงในทุกอุตสาหกรรมทั้งในปัจจุบันและอนาคต ที่เราเตรียมพร้อมในการรองรับการเปลี่ยนรถบรรทุกที่ใช้พลังงานในรูปแบบเดิม มาเป็นพลังงานสะอาดอีก 10 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า”
บนพื้นที่กว่า 3,000 ไร่ ใน Bluetech City จังหวัดฉะเชิงเทรา แหล่งกำเนิดในการขับเคลื่อนต้นแบบอุตสาหกรรมแห่งนโยบายประเทศไทย 4.0 เป็นจุดเชื่อมต่อ การคมนาคมทางทะเล อากาศ ถนน และขนส่งทางราง ซึ่งนับเป็นพื้นที่สำหรับโครงการเป้าหมายสำเร็จสูง หรือ Quick Win Project ซึ่งมุ่งเน้นในความสำคัญด้านนวัตกรรมพลังงาน เช่น การกักเก็บพลังงาน เพื่อรองรรับอุตสาหกรรม First S-Curve และ New S-Curve ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต รวมไปถึงระบบสำรองไฟฟ้าเพื่อกักเก็บไฟฟ้าของประเทศ รวมไปถึงระบบกักเก็บพลังงานทดแทนในรูปแบบต่างๆ เพื่อความเสถียรของพลังงานในประเทศและโรงงานทีต้องการใช้ไฟฟ้าสูง โดยจะมีมูลค่าถึง 5 แสนล้านบาท
นอกเหนือจากนี้ความสามารถในการผลิตแบเตอรี ที่มีสามารถชาร์จไฟได้เร็ว มีระยะเวลาในการใช้งานสูง และมีความเสถียร เป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วยการเพิ่มอัตราการส่งออก ลดการนำเข้า ช่วยให้ประเทศไทยหลุดพ้นจาก “กับดักรายได้ปานกลาง” ซึ่งจะส่งผลให้เพิ่ม GDP ได้อีก 3% ในแต่ละปี
“การพลิกพื้นที่ในชุมชนเขาดินจังหวัดฉะเชิงเทราให้กลายเป็น Bluetech City เราไม่เพียงแต่สร้างพื้นที่เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม แต่เราได้สร้างอาชีพให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในชุมชน และจัดสรรที่ดินราคาถูกให้ชาวบ้านเพื่อให้พวกเขาได้รักษาความผูกพันกับพื้นที่ที่พวกเขาได้ใช้ชีวิตมาโดยตลอด เราสร้างความเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และให้พวกเขาได้เติบโตไปพร้อมๆ กับเรา”
ในอนาคต บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ได้ตั้งเป้าหมายในการเพิ่มศักยภาพการผลิต และพัฒนาพื้นที่ให้เป็น EA Ecosystem ด้วยพื้นที่เพียง 0.5% ของพื้นที่ทั้งหมด จะสามารถปฎิรูปโรงงานไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศไทย ให้ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดทั้งหมดได้ และไปถึงจุดหมายในการเป็น ASEAN BEV Hub หรือ ศูนย์กลางรถไฟฟ้าในอาเซียน