posttoday

TPL วางเป้าสู่ 'กรีนโลจิสติกส์' นักลงทุนรายใหญ่แห่ลงทุน

28 มิถุนายน 2566

ไทยพาร์เซิล TPL วางแผนขึ้นสู่ผู้ให้บริการจัดส่งสินค้าขนาดใหญ่ เน้น 'กรีนโลจิสติกส์' ลงทุนใช้พลังงานไฟฟ้าแทนพลังงานดีเซล เพิ่มศักยภาพ เพื่อสนับสนุนการเติบโตในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

     นายภัทรลาภ ทวีวงศ์ ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยพาร์เซิล จำกัด (มหาชน) หรือ TPL เปิดเผยว่า หลังจากบริษัท ไทยพาร์เซิล จำกัด (มหาชน) หรือ TPL ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการจัดส่งสินค้าหรือสิ่งของในประเทศไทยทั้งสำหรับภาคธุรกิจและบุคคลทั่วไป รวมถึงให้บริการเก็บเงินค่าสินค้าปลายทาง  ที่กำลังจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 120 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 3.30 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท โดยเปิดให้จองซื้อไปแล้วระหว่างวันที่ 22-23 และ 26 มิ.ย. 2566 ที่ผ่านมาและ คาดเข้าซื้อขายวันแรก (เทรด)ในวันที่ 30 มิ.ย. นี้ ถือเป็นก้าวสำคัญใน “การขยายธุรกิจ” การลงทุนโครงการในอนาคต ผลักดันการเติบโตอย่าง “ก้าวกระโดด” พร้อมที่จะก้าวขึ้นสู่ผู้ให้บริการจัดส่งสินค้าขนาดใหญ่หลากหลายรูปทรงด้วยระบบ “Green logistics” รวมถึงมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้ในอนาคต

     การระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ TPL มีแผนการขยายธุรกิจใน 3 ช่องทางเพื่อสร้างการเติบโตอย่างโดดเด่น คือ 1. ใช้ในการจัดหาที่ดิน และก่อสร้างศูนย์คัดแยก และกระจายสินค้าประจำภูมิภาค รวมถึงศูนย์กระจายสินค้าในเขต กทม. 2. การซื้อยานพาหนะที่เป็นรถขนส่งแบบยานยนต์ไฟฟ้า (EV)และการสร้างสถานีชาร์จไฟและอุปกรณ์ต่างๆ และ 3.การลงทุนในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)

     โดยแผนธุรกิจบริษัทจะเน้นเพิ่มศักยภาพ เพื่อสนับสนุนการเติบโตในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน  โดยเฉพาะการตัดสินใจปรับกลยุทธ์การลงทุนครั้งใหญ่ผ่านการลงทุนซื้อรถไฟฟ้า (EV)แบ่งเป็นรถบรรทุก 6 ล้อ จำนวน 28 คัน รถ 4 ล้อเล็กจำนวน 51 คัน ซึ่งคาดจะรับมอบรถไฟฟ้า EV ในครึ่งปีหลัง 2566  โดยปัจจุบันมีกองรถดีเซลทั้งหมด 500 คัน แบ่งเป็นรถบริษัทจำนวน 300 คัน และรถของพันธมิตร 200 คัน 

     ทั้งนี้ การตัดสินเปลี่ยนโครงสร้างต้นทุนของบริษัทนั้น สืบเนื่องจากต้นทุนหลักของบริษัทคือ น้ำมัน ดังนั้น เมื่อราคาน้ำมันมีความผันผวนแรง  ส่งผลให้การบริหารต้นทุนยากทั้งบริษัทและลูกค้า ซึ่งเป็นจุดที่บริษัทพิจารณาแล้วว่าคงต้องถึงเวลาต้องเปลี่ยน และได้ศึกษาการใช้รถยนต์ EV มาตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน แต่ขณะนั้นด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ยังไม่นิ่ง ต่างจากปัจจุบันถือว่าเทคโนโลยีเริ่มนิ่งแล้ว และตลาดมีการนำมาใช้ในธุรกิจบางแล้ว

     สำหรับจุดเด่นสำคัญจากการลงทุนมาใช้พลังงานไฟฟ้าแทนพลังงานดีเซล คืแ 1. การช่วยประหยัดต้นทุน 2.ช่วยให้บริษัทสามารถทำกำไรได้ดีมากยิ่งขึ้น และอาจจะช่วยแบ่งส่วนนี้ไปลดราคาให้ลูกค้า ซึ่งจะช่วยทำให้การแข่งขันของบริษัทดีขึ้นอีก และ 3. ช่วยทำให้ขยายตลาดใน กลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่(คอร์ปอเรท) สามารถนำข้อดี ของการใช้บริการขนส่งของบริษัทด้วยพลังงานสะอาด ใส่เข้าไปในพอร์ตของ การพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน (ESG) ได้อีกด้วย ซึ่ง ESG เป็นกระแสเทรนด์ของโลกในปัจจุบัน 

     “การลงทุนรถ EV ช่วยลดต้นทุนค่าพลังงานเชื้อเพลิงได้มาก แต่มูลค่าการลงทุนสูงกว่ารถดีเซล รวมทั้งค่าเสื่อมก็สูงกว่า แต่โดยรวมก็ยังถือว่ารถ EV ประหยัดกว่ารถดีเซล ในยามที่ราคาน้ำมันผันผวนมาก แต่หากราคาน้ำมันลด ก็เชื่อว่าต้นทุนไฟฟ้าก็ต้องลดลงด้วย”  

     ทั้งนี้บริการหลักของ TPL คือ การรับสินค้าหรือสิ่งของจากจุดบริการทั่วประเทศหรือรับจากลูกค้าโดยตรง แล้วรวบรวมมาคัดแยกที่จุดคัดแยกเพื่อนำไปส่งที่จุดหมายปลายทาง ซึ่งมีทั้งคลังสินค้า โรงงาน ร้านค้า หรือบ้านของลูกค้า รวมถึงสาขาของบริษัท และมีการให้บริการเก็บเงินค่าสินค้าปลายทาง 

     ส่วนลูกค้าที่ใช้บริการกับบริษัทสามารถติดตามสินค้าที่จัดส่งได้จากระบบของบริษัท (Parcel Tracking)ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการการขนส่งที่บริษัทพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยบริหารจัดการการจัดส่งสินค้า โดยครอบคลุมตั้งแต่การรับสินค้า การออกบาร์โคด (Barcode) สำหรับตรวจสอบสถานการจัดส่ง การบันทึกการจัดรถเพื่อรับและส่งสินค้า การบันทึกข้อมูลลูกค้าปลายทางและข้อมูลการเก็บเงินปลายทาง

     นอกจากนี้ ยังมีการให้บริการเสริม (Fulfillment)เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ลูกค้า ได้แก่ บริการจัดส่งคืนเอกสารการจัดส่งสินค้าสู่ลูกค้าต้นทาง (Proof of Delivery: POD) บริการห่อหุ้มสินค้าและจัดชุดสินค้าเพื่อเตรียมกระจาย (Packing) ซึ่งเป็นการให้บริการเสริมให้แก่กลุ่มลูกค้าภาคธุรกิจในปัจจุบัน

     ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2565 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 21.11 ล้านบาท ขณะที่ในงวดไตรมาส 1/66 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 2.41 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น 18.90% จากงวดเดียวกันปีก่อนเท่ากับ 18.04% และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น 0.53 เท่า 

     "ธุรกิจขนส่งแบ่งแยกย่อยได้หลายลักษณะ แน่นอนว่าการตีตลาดขนส่งและขนถ่ายพัสดุทั่วไป อาจต้องชนกับธุรกิจขนส่งรายใหญ่หลายเจ้าที่ตีตลาดอยู่ก่อนแล้ว แต่สำหรับ TPL เป็นผู้ขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ที่เป็นตลาดเฉพาะ ดังนั้น มีโอกาสและช่องทางการเติบโตไม่ยาก" นาย ภัทรลาภ กล่าว 

     การขยับตัวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในครั้งนี้ มีโครงสร้างผู้ถือหุ้น กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ “ตระกูลจีนะวิจารณะ”ถือหุ้นใหญ่ 36.25% กลุ่มกรรมการและผู้บริหาร “ภัทรลาภ ทวีวงศ์ ณ อยุธยา”ถือหุ้น 0.27% “วรัญญู  สุจิวรพันธ์พงศ์”ถือหุ้น 0.15% และ “นิติ  ปัญญาวิศิษฏ์กุล” ถือหุ้น 0.15%  

     รวมถึง “นักลงทุนรายใหญ่”อย่าง บมจ.อควา คอร์เปอเรชั่น (AQUA)ถือหุ้น 26.73% “สุระ คณิตทวีกุล”ถือหุ้น 3.82% “สุธิดา มงคลสุธี”ถือหุ้น 3.34% “บัญชา  พันธุมโกมล”ถือหุ้น 2.77% “พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี”ถือหุ้น 1.91% “พีรเจต สุวรรณนภาศรี”ถือหุ้น 1.53% และ “นันทิวัฒน์  พงษ์เจริญ”ถือหุ้น 0.19%  (ตัวเลข หลังเสนอขายหุ้น IPO) 

     หุ้น TPL เป็นหุ้นธุรกิจโลจิสติกส์ที่มีความ “แตกต่าง”จากผู้ประกอบการทั่วไป โดยได้จัดพอร์ตลูกค้าออกเป็นสามกลุ่มคือประเภท B2B B2C และ C2C เพื่อบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจ และที่ “โดดเด่น” คือ มีบริการจัดส่งสินค้าทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ โดยเฉพาะของที่มีน้ำหนักมาก (Overweight) หรือของที่มีขนาดใหญ่ (Oversize) หรือมีรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่ไม่เป็นมาตรฐานทั่วไป (Odd size) ปัจจุบันบริษัทให้บริการจัดส่งสินค้าและสิ่งของประมาณ 350,000-600,000 ชิ้นต่อเดือน และสามารถให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าทั้งที่เป็นภาคธุรกิจและรายย่อย โดยมีจุดให้บริการ 129 แห่งทั่วประเทศทั้งในรูปแบบสาขาของบริษัทและแฟรนไชส์ของบริษัท