รสา บุกอสังหาฯเวียดนาม เปิดโรงแรม4ดาว รับท่องเที่ยวฟื้น หลังโควิดคลี่คลายปี65
รสาฯ ลงทุนกว่าพันล้านบาท รุกอสังหาฯในไทยขยายธุรกิจโรงแรมที่พัก4 ดาว เมืองฟูก๊วก เวียดนาม มั่นใจเศรษฐกิจท่องเที่ยวอาเซียน ฟื้นไตรมาส2 หลังโควิดคลี่คลาย
นายไมเคิล เชน ฮาวเวิร์ด รองประธานกรรมการอาวุโส บริษัท รสา ฮอสพิทัลลิตี้ จำกัด ในเครือ รสา กรุ๊ป ผู้ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจบริษัทฯ ในปี2565 เบื้องต้นเตรียมงบลงทุนส่วนหนึ่งกว่าพันล้านบาท ขยายธุรกิจอสังหาฯโครงการใหม่ในประเทศไทยและในประเทศเวียดนาม ด้วยมองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะทยอยฟื้นคืนกลับมาในช่วงเดือนพฤษาคมปีนี้ หลังสถานการณ์ระบาดโควิดเริ่มคลี่คลายในทั่วโลก เช่นกัน
“เป็นปีที่ดีสำหรับอสังหาฯกลุ่มฮอสพิทัลลิตี้ โรงแรมที่พักอาศัย เมื่อโควิดคลี่คลายด้วยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้ามาทั้งในไทยและเวียดนามที่ประเทศหลังมองว่าเป็นโอกาสของรสา กรุ๊ป ด้วยเป็นยังเป็นเวอร์จิน มาร์เก็ต มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง และยังไม่มีบูทีค โฮเต็ล จากกลุ่มทุนไทยเข้าไปรองรับมากนัก” นายไมเคิล กล่าว
โดยบริษัท อยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดเพื่อลงทุนธุรกิจโรงแรมที่พักภายใต้แบรนด์ RASA เพื่อให้สอดคล้องในกลุ่มธุรกิจโรงแรมของรสา ในปัจจุบันประกอบด้วยแบรนด์ Anantara Rasananda, Buri Rasa Village Samui, Pai Village Boutique Resort และ เป็นผู้ให้บริการด้านบริหารจัดการ ในแบรนด์ Onsen @ Moncham
สำหรับธุรกิจโรงแรมใหม่ในเวียดนาม วางตำแหน่งเป็นบูทีคโฮเทล ระดับ4 ดาว มีจำนวนห้องพัก 80-120 ห้อง ทำเลตั้งอยู่ในเกาะฟูก๊วก ด้วย กลุ่มรสา มองเห็นโอกาสเมืองดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยอดนิยมในเวียดนาม โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากไทยและอาเซียน ที่ได้รับสิทธิ์ ฟรี วีซ่า การเดินทางระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน ด้วย
“รสาฯ จะเข้าไปลงทุน100 % ในโครงการฯนี้พร้อมร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่นเวียดนามในด้านต่างๆ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะขยายความร่วมมือ หรือ มีการทำ JV ร่วมกันในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนโครงการฯ แล้วเสร็จในปี 2568” นายไมเคิล กล่าว
โดยการเข้าลงทุนธุรกิจใหม่ในเวียดนามครั้งนี้ บริษัทมองว่าในท้ายสุด โรงแรมที่พักดังกล่าวจะเป็นอีกหนึ่งโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เข้ามาเสริมความแกร่งธุรกิจให้กับบริษัท จากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก เริ่มฟื้นคืนกลับมาในอนาคตอันใกล้ โดยมีประเทศไทยเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในรูปแบบ อาเซียน มิกซ์ ซึ่งสอดคล้องกับแผนการทำตลาดของรสา กรุ๊ป
นายไมเคิล กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทย ในปีนี้ยังมีคามน่ากังวลด้านหนี้เสีย (NPL) ที่อาจสูงเพิ่มราว10% ซึ่งเจ้าของธุรกิจ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คนไทย ยังมีโอกาสในการทำตลาดอยู่อีกมาก แต่จะต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ๆในการทำตลาดซึ่งมองว่าจะเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของการทำธุรกิจในปีนี้ สอดคล้องกับแนวทางการทำตลาดในประเทศของรสา กรุ๊ปในปีนี้ที่จะกลับมาแข็งแรงขึ้นจากจุดเด่นโครงการฯต่างๆในเครือ ทั้งอาคารสำนักงาน และที่พักอาศัย โรงแรมแบรนด์ต่างๆ ในประเทศ เป็นต้น
“ปัจจัยบวกในภาพรวมของไทย ยังเป็นด้าน ซอฟต์สกิล การให้บริการด้วยใจมีรอยยิ้มแจ่มใส ที่จะยังดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางกลับเข้ามา และยังมีจะจุดเด่นในเรื่องอาหารการกิน การเป็นครัวโลกอยู่ เหมาะสมกับธุรกิจโรงแรม ส่วนปัจจัยลบ มองว่ายังเป็นเรื่องเงินเฟ้อที่มีผลต่อการตัดสินใจจับจ่ายของผู้บริโภคในประเทศ และทั่วโลก” นายไมเคิล กล่าว
จากแนวโน้มดังกล่าวมองว่าในครึ่งหลังป2565 ราวช่วงเดือน พฤษภาคม เป็นต้นไป ภาพรวมเศรษฐกิจคาดมีสัญญาณฟื้นตัวในกลุ่มนักท่องเที่ยว แต่ยังไม่เทียบเท่ากับในช่วงปกติของปี 2562 และคาดว่าสถานการณ์จะมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่องและเห็นความชัดเจนในปี 2567 ที่เศรษฐกิจการท่องเที่ยวกลับสู่สภาวะปกติ