“พลังงาน-สิ่งแวดล้อม-สุขภาพ” เทรนด์มาแรงปี2566
ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ แห่ง “ลุมพินี วิสดอม” ชี้เทรนด์ “พลังงาน-สิ่งแวดล้อม-สุขภาพ” มาแรงในปี 2566 จากความต้องการของตลาด หลังการแพร่ระบาดโควิด-19 และราคาพลังงานที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด(LWS) บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. กล่าวถึงแนวโน้มการพัฒนาสินค้าและบริการในปี 2566 ว่า หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสถานการณ์ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นผลจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะผู้ซื้อที่อยู่อาศัย ที่คำนึงถึง การประหยัดพลังงาน คุณภาพของสิ่งแวดล้อม และสร้างเสริมสุขอนามัยที่ดี ซึ่งกลายเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นมาตรฐานใหม่(New Standard) ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อที่เปลี่ยนแปลงไป
จากแนวโน้มดังกล่าว นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า ทำให้ในปี 2566 ผู้ประกอบการอสังหาฯ จะปรับกลยุทธ์ธุรกิจในการพัฒนาที่อยู่อาศัยและงานบริการหลังการขายที่ให้ความสำคัญกับ 3 ประเด็นหลัก คือ
ด้านพลังงาน:
ผู้ประกอบการมีแนวโน้มที่จะพัฒนาโครงการที่คำนึงถึงการประหยัดพลังงานมากขึ้น ทั้งการพประหยัดพลังงานผ่านการออกแบบโดยคำนึงถึงทิศทางการวางผังอาคาร ที่เรียกว่า Passive Design และการประหยัดพลังงานในรูปแบบของการใช้อุปกรณ์ หรือ Active Design เช่น การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ เพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้าภายในบ้าน รวมไปถึงการเลือกใช้วัสดุในการก่อสร้างที่ช่วยในการประหยัดพลังงาน รวมไปถึงการติดตั้งระบบระบายความร้อนบนหลังคาร่วมกับการติดฉนวนกันความร้อน การติดตั้ง EV Charger สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า การติดตั้ง Energy Monitoring สำหรับเช็คการใช้พลังงานภายในบ้าน เป็นต้น ซึ่งจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของที่อยู่อาศัยในปี 2566 และในอนาคต
ด้านสิ่งแวดล้อม:
จากงานวิจัยของ Baramizi Lab พบว่า ผู้บริโภคชาวไทยชอบที่จะอยู่กับธรรมชาติถึง 85.2% จากงานวิจัยดังกล่าว ทำให้การออกแบบที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่สีเขียวจะสามารถตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้การพัฒนาโครงการโดยคำนึงถึงการเลือกใช้วัสดุที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด เช่น การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) หรือเป็นวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) ในการสร้างพื้นที่ส่วนกลางเช่น ถนน ทางเท้าในโครงการ รวมไปถึงการพัฒนางานบริการในการการแยกขยะ และการจัดเก็บ เพื่อให้เป็นชุมชนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
ด้านสุขภาพ:
นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปี 2563 ถึงปัจจุบัน การพัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งอาคารชุดและบ้านพักอาศัย ผู้ประกอบการอสังหาฯ จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาโดยคำนึงถึงสุขอนามัยที่ดีในการอยู่อาศัย ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานสำหรับที่อยู่อาศัยในทุกระดับ นอกจากนี้ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการอยู่อาศัยเช่นเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์ต่างๆ ก็ต้องคำนึงถึงเรื่องของสุขอนามัยที่ดีเช่นกัน เช่น งานบริการตกแต่งบ้านแบบ Fit-in จาก 10DK ที่มีแนวคิดการให้บริการด้านการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่ลดการใช้สารที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม มีการใช้สารเคลือบ และสีแบบสารระเหยต่ำ (Low VOCs) ซึ่งปลอดภัยต่อผู้พักอาศัย
นอกจากนี้ยังมีการเลือกวัสดุจากธรรมชาติเป็นหลัก ใช้ผลิตภัณฑ์จากชุมชน และไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง รวมถึงการสร้างรายได้ให้ชุมชนโดยการให้กลุ่มโดยใช้ช่างฝีมือชุมชน ซึ่งอนาคตหากเกิดการแข่งขันทางธุรกิจที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมากขึ้นจะส่งผลให้ราคาการให้บริการในตลาดต่ำลงจนทำให้ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงบริการที่เกี่ยวกับบ้านที่ดีต่อสุขภาพคนอยู่ได้มากขึ้น
นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า การประหยัดพลังงาน สิ่งแวดล้อม และสุขอนามัย ไม่ได้ เป็นแนวโน้มเฉพาะการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี2566 เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในทุกระดับ ทั้งการพัฒนาโรงแรม อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนต์ โกดังสินค้า หรือโรงงานอุตสาหกรรม ก็มีการนำมาตรฐานการก่อสร้างและการบริหารจัดการ โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลักข้างต้น โดยการนำเกณฑ์ต่างๆ มาเป็นดัชนีชี้วัดในการก่อสร้างและการปรับปรุงอาคาร เช่น มาตรฐานอาคารของ Leadership in Energy and Environment Design หรือ LEED , WELL Building Standard คือมาตรฐานทางสุขภาวะระดับสากลที่ประเมินอาคารภายใต้แนวคิดสำคัญ 7 ข้อ ได้แก่ อากาศ น้ำ สาธารณูปโภค แสง การออกกำลังกาย สภาพแวดล้อม และจิตใจ, EDGE คือระบบอาคารพักอาศัยและอาคารพาณิชย์สีเขียว ที่ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (IFC) เพื่อส่งเสริมโครงการอาคารเขียวในประเทศที่กำลังพัฒนาโดยใช้ระบบการให้คะแนนที่เรียบง่าย
นอกจากนี้ จากผลสำรวจของ Statista บริษัทวิจัยจากประเทศเยอรมัน ได้มีการทำสำรวจในปี 2560 พบว่า นักท่องเที่ยวกว่า 19% ยอมเสียค่าบริการเพิ่มมากขึ้นสำหรับการเข้าพักโรงแรมที่ได้รับรอง Green Hotel ซึ่งประเทศไทยเองก็มีโครงการโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Hotel) โดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม มีการเริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน และมีการเข้าร่วมของภาคธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่องทุกปีโดยโครงการโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะมีแนวคิด และเป้าหมาย การขยายเครือข่ายโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อรองรับมาตรการการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของหน่วยงานภาครัฐ และการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเตรียมความพร้อมสู่การประเมินมาตรฐานสิ่งแวดล้อมในระดับสากล อันจะทำให้เกิดการพัฒนา และส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศอย่างยั่งยืน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไป
“จากแนวโน้มและทิศทางดังกล่าว เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งโครงการที่อยู่อาศัย อาคารในเชิงพาณิชย์ และอุตสาหกรรม ที่จะพัฒนาโดยคำนึงถึง 3 ประเด็นหลักคือ เรื่องของ พลังงาน สิ่งแวดล้อม และ สุขอนามัยที่ดี ซึ่งไม่ได้เป็นแค่เทรนด์ที่จะเกิดแต่กำลังเป็นมาตรฐานใหม่ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในทุกระดับ” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว