จาก “บ่อนเบี้ย” ถึง “กาสิโน” เส้นทางสู่การพนันถูกกฎหมายในประเทศไทยมาจากไหน
จากการละเล่น กำถั่ว เล่นโปตั้งแต่สมัยก่อนอยุธยา มาถึงบ่อนเบี้ยในสมัยรัชการที่ 2 และการเปิดบ่อนกาสิโนอย่างเป็นทางการมาแล้ว 2 ครั้งในยุคจอมพล ป. ตามด้วย นายควง อภัยวงศ์ ไทยมีมาครบแล้วทุกอย่าง หากจะมี “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ผุดขึ้นมาอีก ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่จะแลกด้วยอะไรอีกนั้น “สังคมไทย” จะพบคำตอบนั้นเองในที่สุด เช่นทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา
การพนันยังอยู่กับเราไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือไม่!
“ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในโลกที่ยังไม่มีสถานการพนันที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ เนื่องจากคนไทยยังไม่มีความรู้เรื่อง “กาสิโน” ที่มีระบบการบริหารจัดการเป็นมาตรฐานอย่างดีพอ มีความเข้าใจเพียงแต่เฉพาะเรื่อง “บ่อน” ที่เคยพบเห็นมาก่อนเท่านั้น ถึงแม้ว่ากฎหมายจะบัญญัติการพนันว่าเป็นความผิด แต่ในปัจจุบันการพนันประเภทนี้ในประเทศไทยอยู่ในสถานะที่เหลื่อมล้ำกันระหว่างการพนันที่ถูกต้องตามกฎหมายกับที่ผิดกฎหมาย การพนันที่ถูกกฎหมายในประเทศไทยได้แก่ ลอตเตอรี่ของรัฐบาล การแข่งม้า มวย ฯลฯ สำหรับการพนันในส่วนที่ผิดกฎหมาย ได้แก่ การเล่นหวยใต้ดิน การพนันฟุตบอล ลอตเตอรี่ข้ามชาติ หวยหุ้น บ่อนการพนันต่างๆ ตามบ่อนงานศพ หรือบ่อนวิ่ง บ่อนชนไก่ ชนโค ปลากัด ฯลฯ
เนื่องจากเศรษฐกิจการพนันมีขนาดใหญ่โต จึงอาจมองได้ว่าอยู่ในฐานะที่เป็นรากฐานอันหนึ่งของระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้อำนาจของเศรษฐกิจภาคนี้มีปฏิสัมพันธ์โดยตรงต่อระบบการเมือง (ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น) จึงทำให้กฎหมายทางสังคม ค่านิยม ระบบราชการ ตำรวจ ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ฯลฯ เป็นไปอย่างมีนัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองและค่านิยมต่างๆ”
ข้อความนี้ยกมาจากรายงาน “การตั้งสถานกาสิโนในประเทศไทย” โดยนายธรรมนูญ ศรีวาลัย / สถาบันพระปกเกล้า (พ.ศ.2546)
ย้อนไปอีกหน่อย จากประวัติศาสตร์ที่เคยมีการบันทึกไว้ เอกอัครราชทูตพิเศษฝรั่งเศส ซึ่งพระเจ้า หลุยส์ที่ 14 ส่งเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ในปี พ.ศ.2230 อย่าง ‘มองสิเออร์ เดอ ลาลูแบร์’ (Monsieur De La Loubere) ก็ได้เคยบันทึกเอาไว้ว่า
“ชาวสยามอยู่ข้างค่อนรักเล่นการพนันเสียเหลือเกิน จนถึงจะยอมผลาญตัวเองให้ฉิบหายได้ ทั้งเสียอิสรภาพความชอบธรรมของตัวหรือลูกเต้าของตัว ด้วยในเมืองนี้ใครไม่มีเงินพอจะใช้เจ้าหนี้ได้ก็ต้องขายลูกเต้าของตัวเองลงใช้หนี้สิน และถ้าแม้ถึงเช่นนี้แล้วก็ยังมิพอเพียง ตัวของตัวเองก็ต้องกลายตกเป็นทาส การละเล่นพนันที่ไทยรักเป็นที่สุดนั้นก็คือ ติกแตก ชาวสยามเรียกว่า สะกา…”
บ่อนเบี้ย กาสิโน การพนันเจ้าปัญหามีมากี่ยุคสมัย ผลประกอบการเป็นอย่างไร?
ประเทศไทยเคยมีบ่อนการพนันถูกกฎหมายตั้งแต่ยุครัชกาลที่ 2 เรียกว่า "บ่อนเบี้ย" ยุคนั้นเฟื่องฟูมาก จนมีบันทึกว่าเก็บอากรได้มากถึงปีละหลายแสนบาท และถือเป็นแหล่งรายได้สําคัญของรัฐ
บ่อนเบี้ย เป็นสถานที่สำหรับเล่นถั่วโป ไม่แน่ชัดว่าเริ่มมีในไทยเมื่อใด สันนิษฐานว่าเริ่มมีในชุมชนที่มีชาวจีนอาศัยอยู่มาก เป็นการพนันประเภทที่ชาวจีนในอดีตนิยมเล่น การเล่นถั่วโปนั้นสามารถเล่นได้เฉพาะผู้ที่รัฐอนุญาตแล้วเท่านั้น โดยผู้ที่ได้รับอนุญาตต้องเสียเงินเข้าท้องพระคลัง จึงเกิดเป็น "อากรบ่อนเบี้ย" ขึ้นมา
ในสมัยอยุธยากำหนดให้สามารถเล่นถั่วโปได้เฉพาะชาวจีนเท่านั้น ต่อมาในสมัยธนบุรีจึงอนุญาตให้คนไทสามารถเล่นถั่วโปได้ อาจเนื่องจากว่าเป็นช่วงศึกสงครามจึงผ่อนปรนให้ไพร่พลได้เล่นเพื่อผ่อนคลาย และอนุญาตให้เล่นต่อมาเรื่อยๆ
ปี้ คือสิ่งที่ใช้แทนเงินตราในบ่อนเบี้ย ทำจากวัสดุต่าง ๆ เช่น กระเบื้อง ทองเหลือง แก้ว มีรูปร่างและลวดลายหลากหลายแบบ กล่าวกันว่ามีมากกว่า 5,000 แบบ ในช่วงปี พ.ศ. 2316 สยามประสบปัญหาการขาดแคลนเงินปลีก ประชาชนได้นำปี้มาใช้แทนเงินปลีก จนกระทั่งในปีพ.ศ.2417 ทางการได้พิมพ์อัฐกระดาษขึ้นใช้แทนเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราว
ในสมัยรัชกาลที่ 2 มีรายได้จากอากรบ่อนเบี้ยเพิ่มขึ้น มีการแบ่งแขวงอากรบ่อนเบี้ย โดยบ่อนเบี้ยได้แพร่หลายออกไปตามหัวเมืองมากขึ้น
ในสมัยรัชกาลที่ 3 การค้าเจริญขึ้นมีการจัดระเบียบภาษีอากรต่าง ๆ และมีการตั้งอากรหวยเพิ่มขึ้น
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 มีการตั้งอากรการพนันขึ้นโดยกำหนดประเภทการพนันที่จะต้องเสียภาษีให้แก่อากรบ่อนเบี้ย ในช่วงรัชกาลที่ 4 จึงมีรายได้จากการจัดเก็บอากรบ่อนเบี้ยในแต่ละปีเพิ่มขึ้น
เมื่อการคลังมีเสถียรภาพมากขึ้น
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้โปรดให้ลดจำนวนบ่อนเบี้ยลงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2431 เป็นต้นมา โดยค่อย ๆ ลดจำนวน บ่อนเบี้ยลงเรื่อย ๆ ตามหัวเมืองทั้งหมดทุกมณฑล และค่อย ๆ ลดจำนวนบ่อนที่เหลือในกรุงเทพฯ ลง ต่อมาในปีพ.ศ.2459 ทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้เลิกหวยและบ่อนเบี้ยทั้งหมด และทรงตั้งพระราชบัญญัติห้ามเล่นหวยเล่นถั่วโปในพระราชอาณาจักรโดยมีพระราชประสงค์ให้ไพร่บ้านพลเมืองได้มีเงินไว้ประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพให้เป็นประโยชน์แก่ตน
เรื่องนี้ โรม บุนนาค เคยเล่าผ่านบทความ ร.5 กับการเลิกบ่อนการพนัน! ไว้ว่า
เมื่อคราวเสด็จประพาสยุโรป พระองค์มีโอกาสไปเล่นเบี้ยที่มอนติคาโล ทําให้เข้าใจแล้วว่า การเล่นพนันสนุกยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าชาวบางกอกได้ไปเล่นแล้วจะฉิบหายกันไม่เหลือ ต้องห้ามทันที จะรอช้าสักวันเดียวก็ไม่ควร เพราะทรงพิจารณาเห็นว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย”
พ.ศ. 2456 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชดำริที่จะชักนำประชาชนให้เลิกอบายมุข จึงได้มีการตั้งคลังออมสินขึ้น เพื่อปลูกฝังให้ประชาชนได้ริเริ่มการออมเงินแทนการเล่นพนัน และต่อจากนั้นอีก 3 ปี ก็มีการเลิกหวย ก.ข. และเลิกบ่อนเบี้ยในที่สุด ซึ่งในปีนั้นเศรษฐกิจยังดีอยู่มาก
วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2460 รัชกาลที่ 6 ทรงประกาศ ยกเลิกอากรบ่อนเบี้ย ปิดบ่อนการพนันทั่วราชอาณาจักร
พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2473 ในสมัยรัชกาลที่ 7
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีการออก พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2473 จุดประสงค์เพื่อควบคุมการเล่น และค่อย ๆ จำกัดให้ลดน้อยลง แต่แล้วก็มีการยกเลิก พ.ร.บ. ฉบับนั้นไป
ยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475: ออดกฎหมายริเริ่มให้มีบ่อนการพนันจัดการโดยรัฐฉบับแรกในประวัติศาสตร์ไทย!
พ.ศ. 2478 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลใหม่พยายามเปิดเสรีให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้ ด้วยการออก “พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเงื่อนไขการพนันตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478” เป็นกฎหมายฉบับแรก ที่รัฐบาลริเริ่มให้มีบ่อนการพนันที่จัดการโดยรัฐเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีลักษณะพิเศษคือได้ให้อำนาจกระทรวงการคลังเป็นผู้ดูแล ด้วยเหตุผลในทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญในเวลาต่อมาคือช่วยทดแทนรายได้จาก “เงินรัชชูปการ” ซึ่งได้ยกเลิกไป หลังการประกาศใช้ประมวลรัษฎากร
ยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประเทศไทยมีกาสิโนถึง 11 แห่ง!
ปี พ.ศ. 2481 ในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายทหารและนักการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ถึง 8 สมัย รวมระยะเวลากว่า 15 ปี และนับเป็นนายกรัฐมนตรีไทยที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุด ได้มีการเปิดสถานกาสิโนถึง 5 แห่งที่ หัวหิน ลพบุรี พิษณุโลก หนองคาย และเบตง สร้างรายได้มากมายจนมีการขยายเพิ่มอีกรวมเป็น 11 แห่งคือ หัวหิน เชียงราย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี ตราด สงขลา ภูเก็ต เบตง และสุไหงโกลก (*ตัดลพบุรีกับพิษณุโลกออกไปในรอบหลัง)
ไม่ปรากฏหลักฐานหรือรายละเอียดว่า บ่อนการพนันเหล่านั้นดำเนินการอย่างไรบ้าง เว้นก็แต่ที่หัวหิน และสงขลา ท่านรัฐมนตรีการคลังในสมัยนั้นคือ นายปรีดี พนมยงค์ ได้เดินทางไปเปิดด้วยตนเอง แต่สุดท้ายสถานกาสิโนเหล่านี้ก็ได้เงียบหายไปในที่สุด (ที่มา: www.luehistory.com)
เหรียญกาสิโนไทย ผลิตโดยกระทรวงการคลัง เมื่อปี พ.ศ. 2482 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 8 มีการผลิตเหรียญนี้ขึ้นเพื่อใช้แทนชิพ มีจำนวนทั้งหมด 4 ราคา คือ 1,10,20 และ 100 ที่ขอบเหรียญมีการตอกเลข ระบุหมายเลขของเหรียญนั้นๆไว้ ตัวเหรียญเป็นเนื้อนิเกิล ผลิตจากประเทศอังกฤษ
“กาสิโน 82 วัน” ยุคนายควง อภัยวงศ์ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง รัฐบาลต้องการลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ รัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ในเวลานั้นจึงได้ปัดฝุ่น พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2478 ออกมาใช้ และจัดตั้งสถานกาสิโนขึ้นในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2488 แต่เปิดกิจการได้เพียง 3 เดือนเศษก็ต้องปิดตัวลงอย่างรวดเร็วในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2488
ข้อมูลระบุว่า เพียง 82 วันที่เปิด เฉพาะในกรุงเทพ ทำรายได้จากสถานกาสิโนได้ถึง 12.94 ล้านบาท หรือ 22.8% ของงบประมาณรายได้ประจำเดือน ซึ่งถ้ารวมกาสิโนทั้งประเทศ ทำรายได้กว่า 24.13 ล้านบาท เรียกได้ว่าทำเงินถล่มทลาย แต่สุดท้าย สถานกาสิโนดังกล่าวก็ต้องปิดตัวลง เนื่องจากประชาชนเล่นการพนันกันจนหมดเนื้อหมดตัว บางรายถึงกับฆ่าตัวตาย
พ.ร.บ. การพนันฉบับดังกล่าวจึงต้องยกเลิกไปจวบจนถึงปัจจุบัน เหลือแค่สลากกินแบ่งรัฐบาล ที่ยังคงย้อมใจประชาชนไว้ได้ทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน
“กาสิโน” มนต์เรียกเงินที่เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อรัฐบาลมีปัญหาทางการเงิน?
คำถามที่น่าสนใจคือ กาสิโน จะเกิดขึ้นทุกครั้งที่รัฐบาลมีปัญหาทางการเงิน จนต้องหาทางดูดเงินกลับเข้าระบบ ซึ่งวิธีที่รวดเร็วทันใจ จะหาที่ไหนได้นอกจากเล่นกับ "กิเลส" และการละเล่นที่เหมาะกับอุปนิสัยคนไทยแต่ไรมา จริงไหม?
Fact:
- จุดเริ่มต้นของการพนัน อาจต้องย้อนกลับไปเมื่อ 4,300 ปีที่แล้วในประเทศจีน มีการใช้แผ่นกระเบื้องเล็ก ๆ มาเล่นการพนันในรูปแบบของลอตเตอรี่ เรียกว่า “Keno” เป็นที่นิยมมาก จนสร้างตำนานบทหนึ่งว่า ในสมัยราชวงศ์หมิง จีนสามารถนำลอตเตอรี่แบบ Keno มาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญ ในการระดมทุนสร้างกำแพงเมืองจีนเลยทีเดียว
- ด้านอาณาจักรโรมัน ไม่ได้ยอมรับการพนัน เหมือนกับสังคมจีนโบราณ จึงมีกฎหมายที่ระบุว่า ผู้ที่เล่นการพนันจะต้องจ่ายค่าปรับมากถึง 4 เท่าของวงเงินเดิมพัน
- อย่างไรก็ตาม นักพนันชาวโรมันก็คิดหาวิธีหลบเลี่ยงกฎหมาย เพื่อจะเล่นพนันกันจนได้ด้วยการใช้ไม้แผ่นเล็กๆ มาแทนเหรียญเงินตราในการเดิมพัน จึวเป็นที่มาของ ชิป ในปัจจุบัน (เพราะในตัวกฎหมายโรมันเวลานั้น ห้ามแค่การพนันเพื่อเงินตราเท่านั้น แต่ไม่ได้รวมถึงสิ่งของ)
- ต่อมาการพนันได้ถูกพัฒนามาเป็นธุรกิจอย่างจริงจัง จากแค่การเล่นสนุกมาหลายพันปี ธุรกิจกาสิโนแห่งแรกมีชื่อว่า Ridotto ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงปี 1638 ที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี หลังจากนั้นไม่นานธุรกิจกาสิโน ก็แพร่กระจายไปยังดินแดนต่าง ๆ ทั่วทวีปยุโรป
- นอกจากการพนันจะพัฒนากลายเป็นธุรกิจที่สร้างความร่ำรวยให้กับเจ้าของแล้ว รูปแบบของเกมก็ถูกพัฒนาให้มีความหลากหลายมากขึ้น
- การพนันที่ใช้ “ไพ่” เป็นส่วนหนึ่งของเกม เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 800 ที่ประเทศจีน
- การพนันจึงเป็นอุตสาหกรรมที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนอยู่เป็นจำนวนมาก มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 แล้ว แต่ก็สามารถสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจได้หากไม่มีการควบคุม
- ในปี 1930 รัฐบาลสหรัฐอเมริกา จึงเริ่มออกกฎหมายควบคุมการเปิดธุรกิจกาสิโน ซึ่งคนจะเปิดกาสิโนได้ ก็ต้องมีใบอนุญาตจากรัฐบาลก่อน
- นอกจากนี้ยังมีการกำหนดพื้นที่ให้สร้างกาสิโนแบบเฉพาะเจาะจงอีกด้วย เช่น เมืองลาสเวกัส ในรัฐเนวาดา เมืองหลวงของธุรกิจการพนันในโลกตะวันตก
(ที่มา: www.moneylabstory.com)