posttoday

จาก “บ่อนเบี้ย” ถึง “กาสิโน” เส้นทางสู่การพนันถูกกฎหมายในประเทศไทยมาจากไหน

22 กันยายน 2567

ประเทศไทยมี “บ่อนการพนัน” หรือ “กาสิโน” ถูกกฎหมายเกิดขึ้น 2 ครั้งในประวัติศาสตร์ มี “บ่อนเบี้ย” ในสมัยรัชกาลที่ 2 ไม่นับการเล่นถั่วเล่นโปที่มีมานานตั้งแต่ก่อนสมัยอยุธยา จนมาถึงยุค "เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์" การพนันก็ยังอยู่กับเราไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือไม่!

KEY

POINTS

  • ประเทศไทยเคยมี “บ่อนการพนัน” หรือ “กาสิโน” ถูกกฎหมายเกิดขึ้น 2 ครั้งในประวัติศาสตร์ จากที่มีเพียง “บ่อนเบี้ย” มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 ไม่นับการเล่นถั่วเล่นโปที่มีมานานกว่านั้นตั้งแต่ก่อนสมัยอยุธยา
  • ยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ประเทศไทยเคยมีกาสิโนถึง 11 แห่ง!
  • ยุคนายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลเปิด “กาสิโน 82 วัน” ขึ้นมาเพื่อดูดเงินกลับเข้าระบบจากปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง

จากการละเล่น กำถั่ว เล่นโปตั้งแต่สมัยก่อนอยุธยา มาถึงบ่อนเบี้ยในสมัยรัชการที่ 2 และการเปิดบ่อนกาสิโนอย่างเป็นทางการมาแล้ว 2 ครั้งในยุคจอมพล ป. ตามด้วย นายควง อภัยวงศ์ ไทยมีมาครบแล้วทุกอย่าง หากจะมี “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ผุดขึ้นมาอีก ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่จะแลกด้วยอะไรอีกนั้น “สังคมไทย” จะพบคำตอบนั้นเองในที่สุด เช่นทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา

 

การพนันก็ยังอยู่กับเราไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือไม่!

 

“ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในโลกที่ยังไม่มีสถานการพนันที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ เนื่องจากคนไทยยังไม่มีความรู้เรื่อง “กาสิโน” ที่มีระบบการบริหารจัดการเป็นมาตรฐานอย่างดีพอ มีความเข้าใจเพียงแต่เฉพาะเรื่อง “บ่อน” ที่เคยพบเห็นมาก่อนเท่านั้น ถึงแม้ว่ากฎหมายจะบัญญัติการพนันว่าเป็นความผิด แต่ในปัจจุบันการพนันประเภทนี้ในประเทศไทยอยู่ในสถานะที่เหลื่อมล้ำกันระหว่างการพนันที่ถูกต้องตามกฎหมายกับที่ผิดกฎหมาย การพนันที่ถูกกฎหมายในประเทศไทยได้แก่ ลอตเตอรี่ของรัฐบาล การแข่งม้า มวย ฯลฯ สำหรับการพนันในส่วนที่ผิดกฎหมาย ได้แก่ การเล่นหวยใต้ดิน การพนันฟุตบอล ลอตเตอรี่ข้ามชาติ หวยหุ้น บ่อนการพนันต่างๆ ตามบ่อนงานศพ หรือบ่อนวิ่ง  บ่อนชนไก่ ชนโค ปลากัด ฯลฯ

 

เนื่องจากเศรษฐกิจการพนันมีขนาดใหญ่โต จึงอาจมองได้ว่าอยู่ในฐานะที่เป็นรากฐานอันหนึ่งของระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้อำนาจของเศรษฐกิจภาคนี้มีปฏิสัมพันธ์โดยตรงต่อระบบการเมือง (ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น) จึงทำให้กฎหมายทางสังคม ค่านิยม ระบบราชการ ตำรวจ ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ฯลฯ เป็นไปอย่างมีนัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองและค่านิยมต่างๆ”

 

ข้อความนี้ยกมาจากรายงาน “การตั้งสถานกาสิโนในประเทศไทย”  โดยนายธรรมนูญ ศรีวาลัย / สถาบันพระปกเกล้า (พ.ศ.2546)

 

ย้อนไปอีกหน่อย จากประวัติศาสตร์ที่เคยมีการบันทึกไว้ เอกอัครราชทูตพิเศษฝรั่งเศส ซึ่งพระเจ้า หลุยส์ที่ 14 ส่งเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ในปี พ.ศ.2230 อย่าง ‘มองสิเออร์ เดอ ลาลูแบร์’ (Monsieur De La Loubere) ก็ได้เคยบันทึกเอาไว้ว่า


“ชาวสยามอยู่ข้างค่อนรักเล่นการพนันเสียเหลือเกิน จนถึงจะยอมผลาญตัวเองให้ฉิบหายได้ ทั้งเสียอิสรภาพความชอบธรรมของตัวหรือลูกเต้าของตัว ด้วยในเมืองนี้ใครไม่มีเงินพอจะใช้เจ้าหนี้ได้ก็ต้องขายลูกเต้าของตัวเองลงใช้หนี้สิน และถ้าแม้ถึงเช่นนี้แล้วก็ยังมิพอเพียง ตัวของตัวเองก็ต้องกลายตกเป็นทาส การละเล่นพนันที่ไทยรักเป็นที่สุดนั้นก็คือ ติกแตก ชาวสยามเรียกว่า สะกา…”

 

บ่อนเบี้ย กาสิโน การพนันเจ้าปัญหามีมากี่ยุคสมัย ผลประกอบการเป็นอย่างไร?

 

ประเทศไทยเคยมีบ่อนการพนันถูกกฎหมายตั้งแต่ยุครัชกาลที่ 2 เรียกว่า "บ่อนเบี้ย" ยุคนั้นเฟื่องฟูมาก จนมีบันทึกว่าเก็บอากรได้มากถึงปีละหลายแสนบาท และถือเป็นแหล่งรายได้สําคัญของรัฐ

 

บ่อนเบี้ย เป็นสถานที่สำหรับเล่นถั่วโป ไม่แน่ชัดว่าเริ่มมีในไทยเมื่อใด สันนิษฐานว่าเริ่มมีในชุมชนที่มีชาวจีนอาศัยอยู่มาก เป็นการพนันประเภทที่ชาวจีนในอดีตนิยมเล่น การเล่นถั่วโปนั้นสามารถเล่นได้เฉพาะผู้ที่รัฐอนุญาตแล้วเท่านั้น โดยผู้ที่ได้รับอนุญาตต้องเสียเงินเข้าท้องพระคลัง จึงเกิดขึ้นเป็นอากรบ่อนเบี้ยขึ้น

 

ในสมัยอยุธยากำหนดให้สามารถเล่นถั่วโปได้เฉพาะชาวจีนเท่านั้น ต่อมาในสมัยธนบุรีจึงอนุญาตให้คนไทสามารถเล่นถั่วโปได้ อาจเนื่องจากว่าเป็นช่วงศึกสงครามจึงผ่อนปรนให้ไพร่พลได้เล่นเพื่อผ่อนคลาย และอนุญาตให้เล่นต่อมาเรื่อยๆ

 

ปี้ คือสิ่งที่ใช้แทนเงินตราในบ่อนเบี้ย ทำจากวัสดุต่าง ๆ เช่น กระเบื้อง ทองเหลือง แก้ว มีรูปร่างและลวดลายหลากหลายแบบ กล่าวกันว่ามีมากกว่า 5,000 แบบ ในช่วงปี พ.ศ. 2316 สยามประสบปัญหาการขาดแคลนเงินปลีก ประชาชนได้นำปี้มาใช้แทนเงินปลีก จนกระทั่งในปีพ.ศ.2417 ทางการได้พิมพ์อัฐกระดาษขึ้นใช้แทนเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราว

 

ในสมัยรัชกาลที่ 2 มีรายได้จากอากรบ่อนเบี้ยเพิ่มขึ้น มีการแบ่งแขวงอากรบ่อนเบี้ย โดยบ่อนเบี้ยได้แพร่หลายออกไปตามหัวเมืองมากขึ้น

ในสมัยรัชกาลที่ 3 การค้าเจริญขึ้นมีการจัดระเบียบภาษีอากรต่าง ๆ และมีการตั้งอากรหวยเพิ่มขึ้น

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 มีการตั้งอากรการพนันขึ้นโดยกำหนดประเภทการพนันที่จะต้องเสียภาษีให้แก่อากรบ่อนเบี้ย ในช่วงรัชกาลที่ 4 จึงมีรายได้จากการจัดเก็บอากรบ่อนเบี้ยในแต่ละปีเพิ่มขึ้น

 

เมื่อการคลังมีเสถียรภาพมากขึ้น

ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้โปรดให้ลดจำนวนบ่อนเบี้ยลงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2431 เป็นต้นมา โดยค่อย ๆ ลดจำนวน บ่อนเบี้ยลงเรื่อย ๆ ตามหัวเมืองทั้งหมดทุกมณฑล และค่อย ๆ ลดจำนวนบ่อนที่เหลือในกรุงเทพฯ ลง ต่อมาในปีพ.ศ.2459 ทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้เลิกหวยและบ่อนเบี้ยทั้งหมด และทรงตั้งพระราชบัญญัติห้ามเล่นหวยเล่นถั่วโปในพระราชอาณาจักรโดยมีพระราชประสงค์ให้ไพร่บ้านพลเมืองได้มีเงินไว้ประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพให้เป็นประโยชน์แก่ตน

 

เรื่องนี้ โรม บุนนาค เคยเล่าผ่านบทความ ร.5 กับการเลิกบ่อนการพนัน! ไว้ว่า

เมื่อคราวเสด็จประพาสยุโรป พระองค์มีโอกาสไปเล่นเบี้ยที่มอนติคาโล ทําให้เข้าใจแล้วว่า การเล่นพนันสนุกยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าชาวบางกอกได้ไปเล่นแล้วจะฉิบหายกันไม่เหลือ ต้องห้ามทันที จะรอช้าสักวันเดียวก็ไม่ควร เพราะทรงพิจารณาเห็นว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย”

 

พ.ศ. 2456 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชดำริที่จะชักนำประชาชนให้เลิกอบายมุข จึงได้มีการตั้งคลังออมสินขึ้น เพื่อปลูกฝังให้ประชาชนได้ริเริ่มการออมเงินแทนการเล่นพนัน และต่อจากนั้นอีก 3 ปี ก็มีการเลิกหวย ก.ข. และเลิกบ่อนเบี้ยในที่สุด ซึ่งในปีนั้นเศรษฐกิจยังดีอยู่มาก

 

วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2460 รัชกาลที่ 6 ทรงประกาศ ยกเลิกอากรบ่อนเบี้ย ปิดบ่อนการพนันทั่วราชอาณาจักร

 

พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2473 ในสมัยรัชกาลที่ 7

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีการออก พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2473 จุดประสงค์เพื่อควบคุมการเล่น และค่อย ๆ จำกัดให้ลดน้อยลง แต่แล้วก็มีการยกเลิก พ.ร.บ. ฉบับนั้นไป

 

ภาพจาก gamblingstudy-th.org

 

ยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475

พ.ศ. 2478 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลใหม่พยายามเปิดเสรีให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้ ด้วยการออก “พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเงื่อนไขการพนันตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478” เป็นกฎหมายฉบับแรก ที่รัฐบาลริเริ่มให้มีบ่อนการพนันที่จัดการโดยรัฐเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

 

พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีลักษณะพิเศษคือได้ให้อำนาจกระทรวงการคลังเป็นผู้ดูแล ด้วยเหตุผลในทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญในเวลาต่อมาคือช่วยทดแทนรายได้จาก “เงินรัชชูปการ” ซึ่งได้ยกเลิกไป หลังการประกาศใช้ประมวลรัษฎากร

 

ยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประเทศไทยมีกาสิโนถึง 11 แห่ง!

ปี พ.ศ. 2481 ในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายทหารและนักการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ถึง 8 สมัย รวมระยะเวลากว่า 15 ปี และนับเป็นนายกรัฐมนตรีไทยที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุด ได้มีการเปิดสถานกาสิโนถึง 5 แห่งคือ หัวหิน ลพบุรี พิษณุโลก หนองคาย และเบตง สร้างรายได้มากมายจนมีการขยายเพิ่มอีกเป็น 11 แห่ง คือ หัวหิน เชียงราย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี ตราด สงขลา ภูเก็ต เบตง และสุไหงโกลก

 

ซึ่งไม่ปรากฏรายละเอียดว่าดำเนินการอย่างไรบ้าง เว้นก็แต่ที่หัวหิน และสงขลา ท่านรัฐมนตรีการคลังในสมัยนั้นคือ ปรีดี พนมยงค์ ได้เดินทางไปเปิดด้วยตนเองทีเดียว แต่สุดท้าย สถานกาสิโนเหล่านี้ก็ได้เงียบหายไป

 

จาก “บ่อนเบี้ย” ถึง “กาสิโน” เส้นทางสู่การพนันถูกกฎหมายในประเทศไทยมาจากไหน

เหรียญกาสิโนไทย ผลิตโดยกระทรวงการคลัง เมื่อปี พ.ศ. 2482 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 8 มีการผลิตเหรียญนี้ขึ้นเพื่อใช้แทนชิพ มีจำนวนทั้งหมด 4 ราคา คือ 1,10,20 และ 100 ที่ขอบเหรียญมีการตอกเลข ระบุหมายเลขของเหรียญนั้นๆไว้ ตัวเหรียญเป็นเนื้อนิเกิล ผลิตจากประเทศอังกฤษ

 

“กาสิโน 82 วัน” ยุคนายควง อภัยวงศ์ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง รัฐบาลต้องการลดความ ร้อนแรงของเงินเฟ้อ รัฐบาล นายควง อภัยวงศ์ในเวลานั้น จึงได้ปัดฝุ่น พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2478 ออกมาใช้ และจัดตั้งสถานกาสิโนขึ้นในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2488 แต่เปิดกิจการได้เพียง 3 เดือนเศษก็ต้องปิดตัวลงอย่างรวดเร็วในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2488

 

ข้อมูลระบุว่า เพียง 82 วันที่เปิด เฉพาะในกรุงเทพ ทำรายได้จากสถานกาสิโนได้ถึง 12.94 ล้านบาท หรือ 22.8% ของงบประมาณรายได้ประจำเดือน ซึ่งถ้ารวมกาสิโนทั้งประเทศ ทำรายได้กว่า 24.13 ล้านบาท เรียกได้ว่าทำเงินถล่มทลาย แต่สุดท้าย สถานกาสิโนดังกล่าวก็ต้องปิดตัวลง เนื่องจากประชาชนเล่นการพนันกันจนหมดเนื้อหมดตัว บางรายถึงกับฆ่าตัวตาย

 

พ.ร.บ. การพนันฉบับดังกล่าวจึงต้องยกเลิกไปจวบจนถึงปัจจุบัน เหลือแค่สลากกินแบ่งรัฐบาล ที่ยังคงย้อมใจประชาชนไว้ได้ทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน

 

“กาสิโน” มนต์เรียกเงินที่เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อรัฐบาลมีปัญหาทางการเงิน?

คำถามที่น่าสนใจคือ กาสิโน จะเกิดขึ้นทุกครั้งที่รัฐบาลมีปัญหาทางการเงิน จนต้องหาทางดูดเงินกลับเข้าระบบ ซึ่งวิธีที่รวดเร็วทันใจ จะหาที่ไหนได้นอกจากเล่นกับ กิเลสและการละเล่นที่เหมาะกับอุปนิสัยคนไทยแต่ไรมา จริงไหม?

 

 

Fact:

  • จุดเริ่มต้นของการพนัน อาจต้องย้อนกลับไปเมื่อ 4,300 ปีที่แล้วในประเทศจีน มีการใช้แผ่นกระเบื้องเล็ก ๆ มาเล่นการพนันในรูปแบบของลอตเตอรี่ เรียกว่า “Keno” เป็นที่นิยมมาก จนสร้างตำนานบทหนึ่งว่า ในสมัยราชวงศ์หมิง จีนสามารถนำลอตเตอรี่แบบ Keno มาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญ ในการระดมทุนสร้างกำแพงเมืองจีนเลยทีเดียว

 

  • ด้านอาณาจักรโรมัน ไม่ได้ยอมรับการพนัน เหมือนกับสังคมจีนโบราณ จึงมีกฎหมายที่ระบุว่า ผู้ที่เล่นการพนันจะต้องจ่ายค่าปรับมากถึง 4 เท่าของวงเงินเดิมพัน

 

  • อย่างไรก็ตาม นักพนันชาวโรมันก็คิดหาวิธีหลบเลี่ยงกฎหมาย เพื่อจะเล่นพนันกันจนได้ด้วยการใช้ไม้แผ่นเล็กๆ มาแทนเหรียญเงินตราในการเดิมพัน จึวเป็นที่มาของ ชิป ในปัจจุบัน (เพราะในตัวกฎหมายโรมันเวลานั้น ห้ามแค่การพนันเพื่อเงินตราเท่านั้น แต่ไม่ได้รวมถึงสิ่งของ)

 

  • ต่อมาการพนันได้ถูกพัฒนามาเป็นธุรกิจอย่างจริงจัง จากแค่การเล่นสนุกมาหลายพันปี ธุรกิจกาสิโนแห่งแรกมีชื่อว่า Ridotto ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงปี 1638 ที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี หลังจากนั้นไม่นานธุรกิจกาสิโน ก็แพร่กระจายไปยังดินแดนต่าง ๆ ทั่วทวีปยุโรป

 

  • นอกจากการพนันจะพัฒนากลายเป็นธุรกิจที่สร้างความร่ำรวยให้กับเจ้าของแล้ว รูปแบบของเกมก็ถูกพัฒนาให้มีความหลากหลายมากขึ้น

 

  • การพนันที่ใช้ “ไพ่” เป็นส่วนหนึ่งของเกม เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 800 ที่ประเทศจีน 

 

  • การพนันจึงเป็นอุตสาหกรรมที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนอยู่เป็นจำนวนมาก มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 แล้ว แต่ก็สามารถสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจได้หากไม่มีการควบคุม

 

  • ในปี 1930 รัฐบาลสหรัฐอเมริกา จึงเริ่มออกกฎหมายควบคุมการเปิดธุรกิจกาสิโน ซึ่งคนจะเปิดกาสิโนได้ ก็ต้องมีใบอนุญาตจากรัฐบาลก่อน

 

  • นอกจากนี้ยังมีการกำหนดพื้นที่ให้สร้างกาสิโนแบบเฉพาะเจาะจงอีกด้วย เช่น เมืองลาสเวกัส ในรัฐเนวาดา เมืองหลวงของธุรกิจการพนันในโลกตะวันตก 

 

(ที่มา: www.moneylabstory.com)