posttoday

เทรนด์เมืองใหญ่ทั่วโลก รื้อคอนกรีตไม่จำเป็น คืนดินให้ธรรมชาติ!

31 ตุลาคม 2567

ตั้งแต่พอร์ตแลนด์ USA เมลเบิร์น ลอนดอน ยาวไปถึงฝรั่งเศศ เบลเยียม และออนแทรีโอของแคนาดา เมืองต่างๆ กำลังอินเทรนด์กับการฟื้นผืนดินคืนกลับสู่ธรรมชาติ ด้วยวิธีการ “รื้อถอนคอนกรีตและยางมะตอย” ทิ้ง แทนที่ด้วยพื้นที่สีเขียว แถมยังป้องกันน้ำท่วมได้อีก! เขาทำกันอย่างไร?

เริ่มจาก Depave

องค์กรไม่แสวงผลกำไรในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน สหรัฐอมเริกา ก่อตั้งเมื่อปี 2008 ได้เริ่มทำการปอกเปลือกเมือง ด้วยการรื้อถอนพื้นคอนกรีตที่ไม่มีความจำเป็นทิ้ง เผยโฉมหน้าดินที่คนมักมองว่าสกปรกออกมาอวดโฉมแล้วปลูกต้นไม้

 

ด้วยแนวคิดของการรื้อพื้นถนน หรือ Depaving แทนที่คอนกรีตหรือพื้นยางมะตอยด้วยพืชและดิน

 

เมื่อวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้น เมืองและภูมิภาคต่าง ๆ เริ่มนำการรื้อพื้นถนนมาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการปรับตัวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่

 

ความเคลื่อนไหว “รื้อพื้นถนนคอนกรีต” ในพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกาของกลุ่ม Depave กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เมืองต่างๆ (เครดิต: Elle Hygge)

 

“เหมือนได้ปลดปล่อยแผ่นดินให้เป็นอิสระ” ผู้นำกลุ่ม Depave ที่พอร์ตแลนด์ สหรัฐอเมริกากล่าวและบอกว่าอาสาสมัครของกลุ่ม Depave ราว 50 คน ได้ช่วยกันรื้อคอนกรีตไปแล้วประมาณ 1,670 ตารางเมตรในพื้นที่ใกล้โบสถ์ท้องถิ่นเมื่อปีที่ผ่านมา

 

ทั้งนี้ การรื้อพื้นถนนช่วยให้น้ำฝนสามารถซึมลงสู่พื้นดินได้ เป็นการช่วยป้องกันน้ำท่วมยามฝนตกหนักได้อีกทาง

 

นอกจากนี้ยังช่วยให้พืชป่าได้ขึ้นในพื้นที่เมือง และเมื่อมีการปลูกต้นไม้มากขึ้น จะเกิดร่มเงามากขึ้น ซึ่งช่วยปกป้องชาวเมืองจากรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์รวมทั้งคลื่นความร้อนอีก ยังไม่ต้องพูดถึงว่า การขยายพื้นที่สีเขียวในเมืองสามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพจิตของผู้คนดีขึ้นได้

 

“ถึงเวลาแล้วที่จะเริ่มทุบถนนคอนกรีตของเราครั้งใหญ่ เพื่อสร้างพื้นที่ที่ดีกว่าสำหรับธรรมชาติ”

 

ล่าสุดกลุ่ม Depave สามารถรื้อยางมะตอยออกไปได้ประมาณ 33,000 ตารางเมตรในเมืองพอร์ตแลนด์ ตั้งแต่ปี 2008 (เทียบเท่ากับสนามฟุตบอลสี่สนามครึ่ง)

 

การยกแผ่นหินปูขึ้นเผยให้เห็นผืนดินที่ถูกคลุมทับมานานแสนนาน (เครดิต: เมือง Leuven)

 

ต่อด้วย Green Venture องค์กรไม่แสวงผลกำไรด้านสิ่งแวดล้อมในออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา

ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโครงการในพอร์ตแลนด์ เริ่มจาการสร้างสวนเล็ก ๆ สำหรับปลูกต้นไม้พื้นเมืองในเขตหนึ่งของเมืองแฮมิลตัน จากสถานที่ที่ผู้คนแค่เพียงผ่านไป-มาอย่างรวดเร็ว เวลานี้กลับกลายเป็นที่ที่ผู้คนสามารถหยุดพัก พูดคุย หรือแค่หยุดอ่านหนังสือพิมพ์ได้

 

ส่วนที่เมืองแฮมิลตันของแคนาดา ปัญหาน้ำท่วมทำให้น้ำเสียไหลลงปะปนกับน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลสาบออนแทรีโอ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดื่มสำคัญของเมือง การรื้อคอนกรีตจึงกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญ เพราะจากการศึกษาได้แสดงให้เห็นว่า พื้นผิวที่ไม่ซึมน้ำ เช่น คอนกรีต เพิ่มความเสี่ยงน้ำท่วมในเขตเมือง

 

และจากความพยายามของกลุ่ม Depave ในพอร์ตแลนด์ส่งผลให้น้ำฝนประมาณ 24.5 ล้านแกลลอนถูกเปลี่ยนเส้นทางจากการเข้าสู่ท่อระบายน้ำฝนในแต่ละปี

 

ไปที่เมืองเลอเวิน ประเทศเบลเยียม

บัพติสต์ ฟลาเมนค์ หัวหน้าโครงการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศท้องถิ่น เปิดเผยว่า เพียงแค่ปี 2023 ปีเดียวการรื้อคอนกรีต 6,800 ตารางเมตร ทำให้ดินสามารถดูดซับน้ำฝนได้ถึง 1.7 ล้านลิตร

 

คำถามก็คือว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบในเมืองและการวางแผนตระหนักถึงเรื่องนี้หรือไม่?

ในหลายส่วนของโลก การรื้อพื้นถนนยังถูกมองว่าเป็นกิจกรรมเล็กน้อย

แต่การรื้อถนนและเพิ่มพื้นที่สีเขียวอย่างเดียวไม่เพียงพอ สิ่งที่ควรเกิดขึ้นคือการหาวิธีใหม่ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในเมือง

“การวางแผนและทรัพยากรที่ใช้ควรเทียบเท่ากับการวางแผนสร้างเส้นทางรถไฟใหม่” ทามี ครอยเซอร์ จากมหาวิทยาลัย RMIT ในนครเมลเบิร์น ออสเตรเลีย กล่าว

 

การเปิดเผยพื้นดินในพื้นที่เมืองมากขึ้นสามารถช่วยดูดซับฝนและลดน้ำท่วม รวมถึงเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ (เครดิต: เมือง Leuven)

 

เมืองในยุโรปเริ่มการรื้อถอนถนนอย่างต่อเนื่องแล้ว

เช่น ที่ลอนดอน ที่ชาวเมืองกำลังรื้อพื้นคอนกรีตเพื่อคืนชีพพื้นที่สีเขียวในสวน และที่เมืองเลอเวินในเบลเยียมยอมรับแนวคิดการรื้อพื้นถนนในระดับใหญ่ และมีโครงการฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวในท้องถิ่น

 

และหนึ่งในโครงการที่ได้รับการโปรโมตในเมืองเลอเวินคือ “แท็กซี่ขนเศษซาก” หรือรถบรรทุกขนาดเล็กที่ถูกส่งไปยังบ้านของผู้คนที่มีเศษวัสดุหรือคอนกรีตที่รื้อออกจากสวน เพื่อช่วยให้การกำจัดเศษวัสดุง่ายขึ้น และที่สำคัญคือวัสดุเหล่านี้จะไม่ถูกทิ้ง แต่จะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ โดยเลอเวินได้จัดสรรงบหลายล้านยูโรเพื่อสนับสนุนโครงการรื้อถอน (คอนกรีต) และฟื้นฟูธรรมชาติเช่นนี้

 

ฝรั่งเศส กับนโยบาย urban greening

ฝรั่งเศสกำลังทำให้ “การรื้อพื้นถนน” เป็นเรื่องสำคัญอย่างเป็นทางการเช่นกัน รัฐบาลฝรั่งเศสได้จัดสรรงบประมาณระดับประเทศประมาณ 540 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.8 หมื่นล้านบาท) เพื่อสนับสนุนโครงการนิเวศวิทยาในเมือง ซึ่งรวมถึงการรื้อพื้นถนนและการติดตั้งกำแพงและหลังคาเขียวด้วย

 

โดยมีแรงจูงใจสำคัญคือการทำให้เมืองต่าง ๆ ทนต่อคลื่นความร้อนในฤดูร้อนได้ ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพื้นที่ขนาดใหญ่ของฝรั่งเศส บางโครงการมีขนาดใหญ่มาก เช่น ลานจอดรถเก่าใกล้ป่าในภูมิภาคปารีสที่พื้นยางมะตอยและคอนกรีตกว่า 45,000 ตารางเมตร ได้รับการจัดการรื้อถอน

 

หลังจากที่ปูนซีเมนต์ถูกกำจัดออกไปแล้ว พื้นดินจะถูกปรับระดับ มีการปรับภูมิทัศน์ใหม่เพื่อเพิ่มความลาดชันให้มีแอ่งน้ำและลำห้วยที่รองรับน้ำ จากนั้นจะมีการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ทั้งหมด

 

แผนการในท้องถิ่นมักได้รับการสนับสนุนจากผู้อยู่อาศัยที่ต้องการเห็นสีเขียวมากขึ้นในพื้นที่ของตน (เครดิต: เมือง Leuven)

 

ที่เมืองเมลเบิร์น บ้านเกิดของทามี ครอยเซอร์ จากมหาวิทยาลัย RMIT ทีมงานได้ทำการศึกษาพื้นที่ที่มีศักยภาพในการปรับสภาพใหม่ด้วยสวนและกำแพงสีเขียว หากที่จอดรถหลายพันคันถูกรื้อถอนและดัดแปลงเป็นสวนขนาดเล็ก

 

ในการศึกษาเมื่อปี 2022 พวกเขาจำลองผลกระทบตามสถานการณ์ต่าง ๆ โดยสถานการณ์ที่สำคัญต่อจิตใจมากๆ คือ การกำจัดที่จอดรถกลางแจ้งครึ่งหนึ่งของเมือง คิดเป็นประมาณ 11,000 คัน

 

ครอยเซอร์ให้เหตุผลว่า ในนครเมลเบิร์นมีที่จอดรถนอกถนนเพียงพอที่จะทำให้ไม่มีใครขาดที่จอดรถ ดังนั้นควรเปิดให้ที่จอดรถในร่มเหล่านั้นเป็นพื้นที่สาธารณะและเข้าถึงได้

 

“หลักการพื้นฐานคือการไม่สูญเสียการเข้าถึงที่จอดรถ” เขากล่าว “และเราได้รับพื้นที่สีเขียว 50-60 เฮกตาร์ (120-150 เอเคอร์) ที่ช่วยให้เมืองเย็นสบาย ป้องกันน้ำท่วม”

 

อาจดูไม่น่าเป็นไปได้ที่ธรรมชาติเล็กๆ ที่กระจายอยู่ทั่วเมืองใหญ่อย่างเมลเบิร์นจะเป็นประโยชน์ต่อสัตว์ป่าอย่างมาก แต่ครอยเซอร์ กล่าวว่าเศษเสี้ยวของแหล่งที่อยู่อาศัยเหล่านั้นมีความสำคัญ

 

ในการศึกษาเกี่ยวกับ “การรื้อพื้นคอนกรีต” ในนครเมลเบิร์นปี 2022 ทีมของครอยเซอร์ ได้รวมแบบจำลองที่เสนอว่า การเพิ่มพืชพรรณเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้สัตว์บางชนิด เช่น ผึ้งแถบฟ้า มีพื้นที่ในการเคลื่อนที่ในเขตเมืองที่ใหญ่กว่าที่เคยเป็น พวกเขาต่างเห็นตรงกันว่า

 

หากการรื้อพื้นถนนจะเปลี่ยนโลกได้ ทั้งเมืองและแม้แต่ทั้งประเทศจะต้องยอมรับแนวทางนี้อย่างเต็มที่และเพื่อไปถึงจุดนั้น ชุมชนต้องแสดงการสนับสนุนแนวคิดนี้

 

“ทุกอย่างเริ่มต้นจากการที่ผู้คนกดดันรัฐบาลของพวกเขาและเริ่มต้นการพูดคุยในระดับท้องถิ่นเล็ก ๆ” หัวหน้ากลุ่ม Depave กล่าว

 

“และนั่นคือวิธีที่เห็นผล”