คริสตี้ส์ฯครือข่ายอสังหาฯโลก ลุยเปิดสาขาในไทย เจาะตลาดอัลตร้าลักชัวรี่
คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียล เอสเตท เครือข่ายอสังหาฯ ระดับโลกจากอังกฤษ ลุยเปิดสาขาในไทยบุกตลาดอสังหาฯ เจาะกลุ่มลูกค้าเกรด อัลตร้าลักชัวรี่ วางเป้ารายได้ปี 2568 ที่ 100-120 ล้านบาท
นางสาว เฮเลน่า เดอ ฟอร์ตอง กรรมการผู้จัดการ และ Head of EMEA & Asia บริษัท คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียล เอสเตท กล่าวว่า คริสตี้ส์ มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านจัดประมูลผลงานศิลปะระดับโลกมากว่า 250 ปี และได้ขยายมาทำการตลาดและการขายอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์
ที่ผ่านมามีการดำเนินงานใน 46 ประเทศทั่วอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง เอเชียแปซิฟิก และล่าสุดในประเทศไทย มีศูนย์กลางการขายระดับนานาชาติที่สำคัญในนิวยอร์ก ลอนดอน ฮ่องกง ปารีส และเจนีวา นำเสนอแพลตฟอร์มระดับโลกสำหรับการซื้อและขายบ้าน ที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์สุดหรูที่เหนือระดับจากทั่วโลกให้กับลูกค้าโดยเฉพาะ โดยในแต่ละปีบริษัทจะมีการจัดประมูลผลงานศิลปะและอัญมณีในทั่วโลก ซึ่งในทุกงานประมูลใหญ่ๆ บริษัทจะสามารถนำโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพเข้าไปทำการตลาดได้ รวมถึงยังทำการตลาดผ่านสำนักงานทั่วโลกได้อีกด้วย ทั้งนี้ เกณฑ์การคัดเลือกโครงการอสังหาริมทรัพย์ของคริสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียล เอสเตท จะต้องเป็นโครงการคุณภาพระดับไฮเอนด์ และราคามีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต
มองไทยมีศักยภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์แบรนด์อัลตร้าลักชัวรี่
ทั้งนี้ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียล เอสเตท ได้ขยายสาขามาที่ประเทศไทย มุ่งเน้นในการให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮแอนด์อย่างครบวงจร โดยมองเห็นถึงศักยภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์แบรนด์อัลตร้าลักชัวรี่ และลักชัวรี่ของประเทศไทยที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในทำเล กรุงเทพ และ ภูเก็ต ซึ่งมีอัตราการเติบโตของการลงทุนที่ดีมาก
เนื่องจากประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติและผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยหลักหรือรอง ไทยมีข้อได้เปรียบที่น่าดึงดูด ได้แก่ การอนุญาตให้ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียม การให้วีซ่าพำนักระยะยาว และนอกจากนี้การย้ายถิ่นฐานของผู้คนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลกก็เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย นอกจากนี้คนไทยมีรสนิยมที่ดีในการตกแต่งอสังหาฯได้อย่างสวยงามหรูหรา มีความเอ็กซ์คลูซีฟ สามารถสร้างประสบการณ์พิเศษ และดีเยี่ยมให้กับลูกค้า ซึ่งจะช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งสูง (High Net Worth Individual) จากทั่วโลกได้
นายชิณทัต ศิริชนะชัย Head of Christie's International Real Estate Thailand บริษัท คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียล เอสเตท ประเทศไทย เสริมว่า คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียล เอสเตท ประเทศไทย เป็นบริษัทในเครือ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียล เอสเตทแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย มุ่งมั่นให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเลิศ และมีความเป็นมืออาชีพในงานขายและทำการตลาดให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์แบรนด์อัลตร้าลักชัวรี่และลักชัวรี่ที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยผ่านเครือข่ายของคริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท ทั่วโลก
บริษัทเดินหน้าแผนดำเนินงานในระยะ 3 - 5 ปีนี้ ด้วยเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีความต้องการลงทุนอสังหาฯในระดับลักชัวรี่ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยตลอดแม้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมมีความชลอตัว รวมทั้งได้รวบรวมโครงการที่มีคุณภาพระดับลักชัวรี่และมีทำเลที่ตั้งดีเยี่ยม (prime location) นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับผู้ให้บริหารจัดการโครงการหลังการขาย เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทุกท่าน บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้เข้ากับยุคดิจิทัลมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย, เว็บไซต์ และอีคอมเมิร์ซ โดยจะนำเสนอโครงการผ่านเครือข่ายของ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียล เอสเตท ที่ครอบคลุมทั่วโลก
ส่วนเป้ารายได้ ปี 2568 ตั้งไว้ที่ 100-120 ล้านบาท บริษัทเน้นเฉพาะธุรกิจซื้อ-ขายอสังหาฯ ระดับอัลตร้าลักชัวรี่และลักชัวรี่โดยตั้งเป้าจำนวนสต๊อกที่เข้ามาในปีแรกกว่า 10,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีสต๊อกในมือแล้วประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งสต๊อกเหล่านี้มาจากหลากหลายดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำในประเทศไทย ซึ่งมั่นใจได้ว่าจะสามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูงและประสบความสำเร็จในด้านการขายแน่นอน พร้อมผลักดันอสังหาริมทรัพย์แบรนด์อัลตร้าลักชัวรี่ และลักชัวรี่ของประเทศไทยให้ก้าวสู่เวทีระดับนานาชาติ
ทั้งนี้ ด้วยศักยภาพการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียล เอสเตท ประเทศไทย ที่มีลูกค้าที่ชื่นชอบประมูลงานศิลปะทั่วโลก ตลอดจนมีกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูงทำให้สามารถเข้าถึงได้ตรงกลุ่ม มีโอกาสในการขายที่มากกว่า เพราะเป็นการจับกลุ่มลูกค้าระดับบนเท่านั้น ทำให้สามารถให้บริการได้เหมาะสมตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างชัดเจน และช่วยทำให้โครงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในระดับโลกมากยิ่งขึ้นอีกด้วย