“3ตระกูลเจ้าสัว” ผุดเมืองใหม่ “อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์” ล้างหนี้ KTB
ย้อนเล่าที่มากว่าจะเป็นโครงการ “อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์” บนที่ดิน 4,600 ไร่ อดีตที่ดินค้ำประกันเงินกู้ 10,000 ล้านบาทของ"กฤษดามหานคร" ที่เจ้าสัวแห่งไทยเบฟ ประมูลจากการขายทอดตลาดมาได้เมื่อ 10 ปีก่อน ช่วยล้างหนี้ KTB ได้สำเร็จ จนอาจกลายเป็นมหานครสุดไฮเทคในอนาคต!
ข่าวดังข่าวใหญ่แห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ สะเทือนโลกอุตสาหกรรมไทย เมื่อ “3ตระกูลเจ้าสัว” – “สิริวัฒนภักดี-โสภณพนิช-วานิชบุตร” สร้างประวัติศาสตร์ร่วมกันเนรมิตเมืองใหม่ระดับ “อินดัสเตรียล เทค อีโคซิสเต็มส์” (Industrial Tech Ecosystem) บนทำเลทอง ถ.บางนา-ตราด เชื่อมต่อ EEC ภายใต้ชื่อโครงการ “อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์” (ARAYA THE EASTERN GATEWAY) ที่ตั้งใจให้เป็น ระบบนิเวศเมืองอุตสาหกรรมและนวัตกรรมครบวงจรรูปแบบใหม่บนพื้นที่กว่า 4,600 ไร่ ซึ่งประกอบไปด้วยแคมปัสด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี พื้นที่โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรมอารยะ ตลอดจนโซนไลฟ์สไตล์และบริการอื่นๆ อีกมากมาย
โพสต์ทูเดย์พาย้อนเล่าที่มากว่าจะเป็นโครงการสุดพีคแห่งอนาคต ที่ไม่ธรรมดา เพราะระดับ 3 ตระกูลเจ้าสัวของเมืองไทยมาร่วมกันปั้น จนอาจกลายเป็นเมืองหลวงแห่งบูรพาทิศในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน ด้วยเฟสแรกที่ประกาศประเดิมไป 2หมื่นล้านเบาะๆ!
ภาพจำลองโครงการ “อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์” (ARAYA THE EASTERN GATEWAY) ระบบนิเวศเมืองอุตสาหกรรมและนวัตกรรมครบวงจรรูปแบบใหม่บนพื้นที่กว่า 4,600 ไร่
ย้อนที่มาของอดีตที่ดิน "กฤษดามหานคร" 4,600 ไร่
เรื่องเล่าขานระดับมหากาพย์ยาวนานเกิน 20 ปี ที่ดินกฤษดามหานคร ขนาด 4,600 ไร่แปลงนี้เคยทำให้นายแบงก์กรุงไทย ระดับกรรมการผู้จัดการ และบอร์ดสินเชื่อของธนาคาร เข้าไปติดคุกอยู่หลายปี ก่อนผ่านด่านการประมูลอันดุเดือดถึง 5 ครั้ง กระทั่งเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ชนะการประมูลจากกรมบังคับคดีที่ประกาศขายทอดตลาดที่ราคา 8,914.07 ล้านบาทเมื่อ 10 ปีก่อนในนามบริษัท ทีอาร์เอ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ เครือบริษัท ไทยเบฟเวอร์เรจ จำกัด (มหาชน)
ทีอาร์เอ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ ที่ว่านี้จดทะเบียนเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2560 เพื่อประกอบกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท โดยโครงสร้างผู้ถือหุ้นหลักประกอบด้วย บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON (บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน) ถือหุ้น 50 %, บริษัท สวนอุตสหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA 25% และนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย ถือหุ้น 25%
ก่อนนั้นที่ดินในตำนาน บนถนนบางนา-ตราด กม.32 แปลงนี้ “กฤษดามหานคร” เคยใช้ค้ำประกันเงินกู้ 10,000 ล้านบาท ที่ ธ.กรุงไทย แต่ต่อมากฤษดามหานคร ไม่สามารถชำระหนี้ได้ เมื่อนำไปขายทอดตลาด ก็ไม่มีคนซื้อ เมื่อจะพัฒนาพื้นที่ก็ไม่มีความสามารถพอ จึงทำให้ธนาคารกรุงไทยเสียหายที่จ่ายเงินกู้ไป 10,000 ล้านบาท ทำให้ผู้บริหารกรุงไทยต้องชดใช้และเป็นคดีความกันมาอย่างยาวนาน ที่สำคัญที่ดินแปลงใหญ่ที่มีราคาสูงขนาดนี้ คนที่จะซื้อได้คงมีแค่ไม่กี่คนในประเทศนี้ จนกระทั่งมาจบที่เจ้าสัวไทยเบฟในที่สุด
(ซ้าย) ชาลี โสภณพนิช ชาย วานิชบุตร และปณต สิริวัฒนภักดี แห่ง 3 ตระกูลเจ้าสัวเมืองไทย
ทายาทเจ้าสัวเจริญ นำโดยนายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด และพันธมิตร ประกาศคิกออฟ “อารยะ ดิ อิสเทิร์น เกตเวย์” เมืองอุตสาหกรรมและนวัตกรรมครบวงจรรูปแบบใหม่ แห่งแรกของไทย เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ในนาม บริษัท อารยะ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด ที่ตั้งขึ้นเพื่อบริหารจัดการโครงการดังกล่าวภายใต้การร่วมทุน 3 กลุ่มยักษ์ใหญ่ ประกอบด้วย บริษัทเฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน) ,บริษัทสวนอุตสาหกรรมโรจนะจำกัด (มหาชน) และบริษัทนิคมอุตสาหกรรมเอเชียจำกัด หรือ เอเชีย อินดัสเตรียล เอสเตท
ทำเลทองเชื่อมต่อเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EEC
ที่ดินขนาด 4,600 ไร่แปลงนี้ เป็นแปลงที่ดินที่ดีงามตามหลักการเพราะติดถนนสายหลักที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดภาคตะวันออก 2 ด้าน คือ-ด้านถนนบางนา-ตราด กม.32 และ -ด้านถนนมอเตอร์เวย์ กม.30 ความลึกของที่ดิน จาก บางนา ไป เชื่อมต่อมอเตอร์เวย์ ยาว 6.8 กิโลเมตร ว่ากันว่า สามารถสร้างเมืองขนาดย่อมๆ ขึ้นมาแบบเมืองทองธานีได้อีก 1 เมืองกันเลย
เหตุผลที่ 3ตระกูลเจ้าสัวมารวมตัวกัน
เหตุผลที่เจ้าสัวไทยเบฟ ต้องจับมือกับกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมโรจนะของตระกูลวานิชบุตรนั้นเป็นเพราะ ตระกูลวานิชบุตรมีนิคมอุตสาหกรรมรวมกันทั้งหมด 6 แห่ง ในมืออยู่ก่อน คือ นิคมอุตสาหกรรม อยุธยา / บ้านค่าย ระยอง / ปลวกแดง ระยอง / บ่อวิน ชลบุรี / แหลมฉบัง ศรีราชา / และ นิคมอุตสาหกรรม ปราจีนบุรี ประกอบกับเจ้าสัวไทยเบฟไม่มีประสบการณ์ในการทำนิคมโรงงานฯ มาก่อน อีกประการก็คือ “กลุ่มวานิชบุตร” มีความสัมพันธ์ที่ดี กับ กลุ่มทุนนิปปอนฯ ของญี่ปุ่นที่ถือหุ้นใหญ่ของหุ้นโรจนะถึง 25% โดยกลุ่มวานิชบุตร ทำนิคมอุตสาหกรรมนี้มา 37 ปีแล้ว
ส่วนเหตุผลที่ชวนคุณชาลี โสภณพานิช เจ้าของ “ซิตี้เรียลตี้” บริษัทอสังหายักษ์ ของกลุ่มโสภณพานิช ก็คือเหตุผลด้านสภาพคล่อง เพราะอีกขาของคุณชาลี คือ กองเงินสดสภาพคล่องอุดหนุนเอกชน ของ ธ.กรุงเทพ ยิ่งกว่านั้น ซิตี้เรียลตี้ ของโสภณพานิชนี้ ยังเคยพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงมาแล้วมากมายเช่น เอ็มโพเรียมทาวเวอร์ ถนน RCA ทั้ง 2 ฝั่งที่ยาวเหยียด รวมถึงตึกสาทรซิตี้ทาวเวอร์ ตรงแยกนราธิวาส ตัดสาทร และ โรงแรมอีกหลายแห่งทั่วประเทศและในหลายประเทศ
และล่าสุดกับ โครงการบางกอกมอลล์ (Bangkok Mall) ขนาด 100ไร่ ของกลุ่มอัมพุช แห่งเดอะมอลล์ กรุ๊ป ที่กำลังก่อสร้างอาณาจักรมอลล์อย่างยิ่งใหญ่บนถนนบางนา-ตราดเช่น ก็เป็นผลงานของ ซิตี้เรียลตี้ ของโสภณพานิช
ไทยเบฟ ให้คุณปณตแห่ง Frasers Property บริษัทก่อสร้างจากสิงคโปร์ ที่สร้าง One Bangkok ทำหน้าที่ควบคุมการก่อสร้าง และพัฒนาสิ่งปลูกสร้าง อาคาร ตึกต่างๆ บนที่ดิน 4,600 ไร่ ด้วยแนวคิดที่เปิดกว้าง และยังได้ข้ามค่ายไปเชิญให้ คุณชัชวาลย์ เจียรวนนท์ มาเป็นกรรมการบริษัท ที่ Frasers ด้วย (คุณชัชวาลย์ เป็นลูกชายคุณสุเมธ เจียรวนนท์ – พี่ชายเจ้าสัวธนินทร์แห่ง CP คุณชัชวาลย์เป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท อีออน ธนสินทรัพย์ และ บริษัทฟินันเซียไซรัส และยังเป็นเจ้าของ นิตยสารระดับโลก Fortune Magazine! ด้วย)
ทุกอย่างจึงดูงดงาม มั่นคง และลงตัว ในโครงการ อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ เมื่อได้กลุ่มทุนระดับ 3เจ้าสัว มาร่วมกันพลิกฟื้นโครงการที่ดิน กระทั่งทำให้ธนาคารกรุงไทย ไม่ขาดทุน ได้รับการชำหนี้คืน เกินภาระหนี้ ส่งผลให้กรรมการผู้จัดการของธนาคารกรุงไทย และ บอร์ดสินเชื่อธนาคารกรุงไทย ไม่ต้องชดใช้ความเสียหายให้ธนาคารกรุงไทย ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ณ วันตัดสิน ที่เกิดความเสียหาย เพราะได้ 3 เจ้าสัวช่วยล้างหนี้ให้หมดนั่นเอง
ยิ่งกว่านั้น อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ จะไม่ใช่แค่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมธรรมดาแต่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “The First Industrial Tech Ecosystem in Thailand” หรือ ระบบนิเวศเมืองอุตสาหกรรมและนวัตกรรมครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทย ที่จะกลายเป็นศูนย์รวมของเทคโนโลยีขั้นสูงระดับนวัตกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวก ศูนย์รวมบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ศูนย์กลางโลจิสติกส์แบบไร้รอยต่อ โรงงานอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ loT ไปจนถึงพื้นที่ไลฟ์สไตล์ ที่มีความพิเศษสุดก็คือการออกแบบให้เป็นทั้งสถานที่ทำงานและสถานที่อาศัยใช้ชีวิตไปพร้อมๆ กัน และมีคนที่ทำงานในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยไม่ต้องเดินทางไกลด้วยพื้นที่สันทนาการครบวงจร
“อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์” ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบหลัก ได้แก่
- Industrial Tech Campus: พื้นที่สำหรับบริษัทด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงศูนย์ข้อมูล (Data Center)
- Logistics Park: พื้นที่สำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ คลังสินค้า และศูนย์กระจายสินค้า
- ARAYA Industrial Estate: พื้นที่สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ
- Lifestyle & Amenities: พื้นที่รีเทล ไลฟ์สไตล์ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
- Community Services Centre: ศูนย์กลางการให้บริการชุมชน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
- Residential Project: โครงการที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับบุคลากรที่ทำงานในโครงการ
มองให้ลึกกว่านั้นที่นี่ไม่ใช่แค่เมืองอุตสาหกรรมธรรมดาแต่คือเมืองแห่งนวัตกรรมที่เชื่อมโยงไทยสู่อนาคต