BMW สวนกระแส EV ชะลอตัว ทุ่มทุนสร้างแบตเตอรี่อัจฉริยะ หวังแซงหน้า Tesla
BMW สวนกระแสตลาด EV ชะลอตัว ทุ่มทุนสร้างเทคโนโลยีแบตเตอรี่อัจฉริยะ "Gen6" เพิ่มระยะวิ่ง-ชาร์จเร็ว หวังแซงหน้า Tesla
ท่ามกลางกระแสความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั่วโลกที่ชะลอตัวลง ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายเริ่มหันกลับมาทบทวนแผนธุรกิจของตน
แต่ BMW กลับประกาศเดินหน้าเต็มกำลังในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า โดยหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนครั้งนี้อยู่ที่โรงงานผลิตแบตเตอรี่แห่งใหม่ในเยอรมนี
ซึ่งเป็นศูนย์กลางการสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่จะเป็นรากฐานให้กับรถยนต์ไฟฟ้า BMW ในยุคต่อไปภายใต้สถาปัตยกรรม "Neue Klasse"
BMW ประกาศชัดเจนว่า พวกเขายังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าในทุกเซกเมนต์ของตลาด ภายใต้แบรนด์ทั้งหมดในเครือ ไม่ว่าจะเป็น BMW, Mini หรือ Rolls-Royce
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ BMW กำลังทุ่มเม็ดเงินลงทุนมหาศาลนับพันล้านดอลลาร์ไปกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่ล้ำสมัย
รวมถึงพัฒนาชุดควบคุมแบตเตอรี่อัจฉริยะรุ่นใหม่ที่เรียกว่า "Energy Master" เพื่อเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำตลาด EV แซงหน้า Tesla และรับมือกับคลื่นลูกใหม่จากผู้ผลิตจีน
BMW ทุ่มทุนเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า
BMW ได้เปิดตัวเทคโนโลยีสำคัญที่จะขับเคลื่อนอนาคตของรถยนต์ไฟฟ้า นั่นคือ "แบตเตอรี่ Gen6" ที่มาพร้อมประสิทธิภาพเหนือกว่าแบตเตอรี่รุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด
โดยบริษัทเคลมว่าสามารถเพิ่มระยะทางขับเคลื่อนได้ถึง 30%, ชาร์จเร็วขึ้น 30%, และมีความหนาแน่นพลังงานมากขึ้น 20% ที่สำคัญคือมีต้นทุนการผลิตที่ลดลงถึง 50%
แบตเตอรี่ Gen6 จะถูกติดตั้งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างในสถาปัตยกรรม Neue Klasse ทำให้ตัวรถมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และยังสามารถเปลี่ยนเฉพาะเซลล์ที่เสียหายได้ ช่วยลดต้นทุนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ควบคู่กับแบตเตอรี่ Gen6 คือ "Energy Master" ชุดควบคุมแบตเตอรี่อัจฉริยะที่ผลิตเองในโรงงาน Landshut ประเทศเยอรมนี ด้วยเทคโนโลยี AI ที่เข้ามาช่วยในการตรวจสอบคุณภาพ โดยใช้ระบบจดจำภาพเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของการติดตั้งชิ้นส่วนต่าง ๆ
Energy Master จะทำหน้าที่บริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รองรับระบบไฟฟ้า 800V และการชาร์จแบบสองทิศทาง (V2H/V2L/V2G) ทำให้รถยนต์ Neue Klasse มีความอัจฉริยะและตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายยิ่งขึ้น
กลยุทธ์สร้างฐานผลิต "Local-for-Local"
Joachim Post กรรมการบริหาร BMW AG Group เผยว่า การลงทุนในเทคโนโลยีไฟฟ้าครั้งนี้ถือเป็น "โครงการแห่งศตวรรษ" และเป็นการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท
เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์และห่วงโซ่อุปทาน BMW เลือกใช้กลยุทธ์ "local-for-local" โดยจะผลิตชุดแบตเตอรี่แพ็กและ Energy Master เองในโรงงานที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ในสหรัฐอเมริกา
แนวทางการผลิตแบบ local-for-local นี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่ทวีความรุนแรงขึ้นในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ
ซึ่งมาตรการภาษีของอดีตประธานาธิบดี Donald Trump อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมยานยนต์
นอกจากนี้ ยังเป็นการลดความเสี่ยงจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่เคยสร้างความปั่นป่วนในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19
ฝ่าคลื่นอุปสรรค มุ่งสู่อนาคต EV
แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของจีน และนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไปในสหรัฐอเมริกา แต่ BMW ยังคงยืนหยัดในเส้นทาง EV
โรงงานในมิวนิกซึ่งเป็นโรงงานที่เก่าแก่ที่สุดของ BMW กำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงครั้งใหญ่ เพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ทั้ง ICE และ EV บนสายการผลิตเดียวกัน
BMW แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พวกเขากำลัง "เอาจริง" กับอนาคตของยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยการลงทุนมหาศาลในเทคโนโลยีและฐานการผลิต
เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และนำพาแบรนด์ก้าวไปสู่อนาคตในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มตัว
ทั้งนี้ BMW มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างต่อเนื่องและตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ 40% ภายในปี 2030 โดยในปี 2024 BMW มียอดขาย EV ทั่วโลกเติบโตถึง 30.5%