สำรวจ "แรร์เอิร์ธ แร่ที่กุมชะตาสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ" และเทคฯโลกยุคใหม่

สำรวจ "แรร์เอิร์ธ แร่ที่กุมชะตาสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ" และเทคฯโลกยุคใหม่

05 มีนาคม 2568

Rare Earth Elements (REEs) หรือ "แร่หายาก" เป็นกลุ่มธาตุที่กลายเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยียุคใหม่ ตั้งแต่สมาร์ทโฟน แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทำให้แร่เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ในเวลานี้

KEY

POINTS

  • ทุกวันนี้

แม้ชื่อ "Rare Earth" หรือ Rare Earth Elements (REEs) จะสื่อถึงความหายาก แต่ในความเป็นจริง ธาตุเหล่านี้พบได้ทั่วไปในเปลือกโลก เพียงแต่การสกัดให้บริสุทธิ์เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง

 

'แร่หายาก' กลายเป็นหัวข้อข่าวอีกครั้ง จากประเด็นเชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯและจีน และสหรัฐฯกับยูเครน จากความสำคัญของแร่พิเศษชนิดนี้ เพราะทุกวันนี้ความต้องการผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ทั่วโลกได้เพิ่มขึ้น ตั้งแต่สมาร์ทโฟนไปจนถึงกังหันลม และรัฐบาลต่างๆ ในประเทศผู้ผลิตเทคโนโลยีชั้นนำของโลกล้วนพยายามหาแร่ชนิดนี้จากแหล่งจัดหาที่ปลอดภัยและที่สำคัญเพื่อลดการพึ่งหาจีน มหาอำนาจผู้ครอบครองการผลิตแร่ชนิดนี้มากที่สุดในโลกในเวลานี้

 

REEs ถูกค้นพบครั้งแรกในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 โดย Carl Axel Arrhenius นักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดน ซึ่งพบแร่ที่มีธาตุหายากในเหมือง Ytterby ประเทศสวีเดน ต่อมานักเคมีชาวยุโรปได้แยกธาตุเหล่านี้ออกจากกันและพบว่าสามารถเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเทคโนโลยีในยุคอุตสาหกรรม และต่อมาจนถึงปัจจุบันก็ได้กลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีทั้งหลายโดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ

 

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเย็น สหรัฐฯ เคยเป็นผู้นำด้านการผลิตแร่หายาก โดยเหมือง Mountain Pass ในแคลิฟอร์เนียเป็นแหล่งผลิตหลัก แต่หลังจากทศวรรษ 1980 จีนเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยใช้นโยบายการสนับสนุนจากรัฐบาล ทำให้สามารถผลิตและสกัดแร่เหล่านี้ได้ในราคาถูกกว่าประเทศอื่น

 

ภาพตัวอย่างแร่ธาตุหายากจากซ้ายไปขวา เซเรียมออกไซด์ บาสตนาไซต์ นีโอไดเมียมออกไซด์ และแลนทานัมคาร์บอเนต จัดแสดงในโรงงานแร่ธาตุหายาก Mountain Pass ของ Molycorp ในเมือง Mountain Pass รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2558 ภาพจาก REUTERS/David Becker ภาพตัวอย่างแร่ธาตุหายากจากซ้ายไปขวา เซเรียมออกไซด์ บาสตนาไซต์ นีโอไดเมียมออกไซด์ และแลนทานัมคาร์บอเนต จัดแสดงในโรงงานแร่ธาตุหายาก Mountain Pass ของ Molycorp ในเมือง Mountain Pass รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2558 ภาพจาก REUTERS/David Becker

 

  • จีนกับบทบาทมหาอำนาจแร่หายาก

ตั้งแต่ทศวรรษ 1990 จีนได้กลายเป็นผู้นำตลาดแร่หายากของโลก ปัจจุบันจีนผลิตแร่หายากมากกว่า 70% ของปริมาณทั้งหมดของโลก และถือครองความสามารถในการแปรรูปมากถึง 90% ของกำลังการผลิตทั่วโลก (อ้างอิงจาก USGS, 2025)

 

จีนควบคุมแร่หายากผ่านการควบคุมโควตาส่งออก โดยเฉพาะในปี 2010 จีนเคยลดโควตาส่งออกแร่หายากไปยังญี่ปุ่นในกรณีพิพาทหมู่เกาะเซนกากุ ส่งผลให้ราคาตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า REEs ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์

 

ทุกวันนี้จีนก็ยังครองตำแหน่งผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นสัดส่วน 70% ของการผลิตโลก ทำให้ประเทศอื่นพึ่งพาจีนเป็นหลัก และยิ่งกว่านั้นยังมีเรื่องของข้อจำกัดในการทำเหมือง เพราะการสกัด REEs มีต้นทุนสูงและก่อให้เกิดมลพิษสูง

 

หลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น พยายามพัฒนาแหล่งแร่หายากของตนเองเพื่อลดการพึ่งพาจีน

 

โดยรวมแล้ว แร่หายาก ถือเป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไฮเทคและพลังงานสะอาดของโลก

 

  • สหรัฐฯ และความพยายามลดการพึ่งพาจีน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ และพันธมิตร เช่น ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป ได้เริ่มลงทุนในเหมืองแร่หายากและโรงงานแปรรูปของตนเอง โดยบริษัท MP Materials ได้เปิดเหมือง Mountain Pass อีกครั้งในสหรัฐฯ ขณะที่ Lynas Rare Earths ของออสเตรเลียก็เป็นอีกผู้ผลิตหลักที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอเมริกัน

 

รัฐบาลสหรัฐฯ ยังได้ร่วมมือกับแคนาดาและญี่ปุ่นเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านแร่หายากเพื่อลดการพึ่งพาจีน ในปี 2022 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้อนุมัติงบประมาณกว่า 200 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนการแปรรูป REEs ในประเทศ

 

ภาพถ่ายดาวเทียม (สีเทียม) ของเขตเหมืองแร่บายันโอโบ (Bayan Obo) ปี 2549 / ที่มา NASA Earth Observatory ภาพถ่ายดาวเทียม (สีเทียม) ของเขตเหมืองแร่บายันโอโบ (Bayan Obo) ปี 2549 / ที่มา NASA Earth Observatory

 

  • แร่หายาก (Rare Earth) มีมากที่ไหน?

แร่หายากพบได้ทั่วโลก แต่แหล่งที่มีปริมาณสำรองสูงและสามารถทำเหมืองได้อย่างคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมีอยู่ไม่กี่ประเทศ โดยแหล่งหลัก ได้แก่

 

  1. จีน – มีแหล่งสำรองและการผลิตมากที่สุด (70% ของการผลิตโลก) โดยมณฑลสำคัญคือ มองโกเลียใน (Inner Mongolia) (แหล่ง Bayan Obo)
  2. เวียดนาม – มีแหล่งสำรองใหญ่อันดับสองของโลก แต่การผลิตยังมีจำกัด
  3. บราซิล – มีแหล่งสำรองมาก แต่การพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายากยังไม่มากนัก
  4. รัสเซีย – มีแหล่งสำรองใหญ่ แต่ขาดการพัฒนาเทคโนโลยีสกัดอย่างมีประสิทธิภาพ
  5. สหรัฐอเมริกา – มีเหมืองสำคัญที่ Mountain Pass (แคลิฟอร์เนีย) แต่การผลิตยังไม่เพียงพอและพึ่งพาการแปรรูปจากจีน
  6. ออสเตรเลีย – เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศนอกจีนที่มีการผลิตแร่หายากในเชิงพาณิชย์ โดยมีเหมืองสำคัญที่ Mount Weld
  7. ยูเครน – มีศักยภาพเป็นแหล่งแร่หายากที่สำคัญในยุโรป โดยเฉพาะในภูมิภาค Donbas และ Zhitomir  แต่การสกัดแร่หายากในยูเครนยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น แม้ว่าจะมีแหล่งแร่หายากอยู่หลายแห่ง แต่ยังไม่มีการทำเหมืองในเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคยังทำให้การเข้าถึงและสกัดแร่เหล่านี้ยิ่งยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากแหล่งแร่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่รัสเซียเข้าควบคุม

 

  • ทำไมโดนัลด์ ทรัมป์ต้องการ ‘แร่หายาก’ จากยูเครน?

สาเหตุหลักมาจากความต้องการลดการพึ่งพาจีนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการทหารของสหรัฐฯ โดยมีปัจจัยสำคัญดังนี้

 

1. การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์กับจีน

  • จีนครองตลาดแร่หายากและสามารถใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการค้า
  • ทรัมป์เคยพยายามลดการนำเข้า REEs จากจีนเพื่อลดความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการป้องกันประเทศ

 

2. ยูเครนเป็นแหล่งแร่หายากที่ยังไม่ได้พัฒนาเต็มที่

  • สหรัฐฯ มองว่ายูเครนมีศักยภาพในการเป็นแหล่งสำรองแร่หายากในยุโรป
  • การร่วมมือกับยูเครนช่วยให้สหรัฐฯ และพันธมิตรนาโตมีแหล่งวัตถุดิบสำคัญนอกจีน

 

3. ความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างสหรัฐฯ และยูเครน

  • ในยุคทรัมป์ สหรัฐฯ สนับสนุนยูเครนด้านอาวุธและเศรษฐกิจ ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเพื่อเข้าถึงทรัพยากรในอนาคต

 

4. การพึ่งพาทรัพยากรจากพันธมิตร

  • หากยูเครนพัฒนาเหมืองแร่หายากได้ จะช่วยให้สหรัฐฯ มีทางเลือกอื่นนอกจากจีนและรัสเซีย

 

แม้ว่ายูเครนจะยังไม่ใช่ผู้ผลิตรายใหญ่ แต่ความสำคัญของแร่หายากในสงครามเศรษฐกิจและเทคโนโลยีทำให้สหรัฐฯ สนใจลงทุนและพัฒนาความร่วมมือกับประเทศนี้

 

  • ความสำคัญของแร่หายาก

REEs มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด เนื่องจากคุณสมบัติทางแม่เหล็ก ไฟฟ้า และเรืองแสงที่โดดเด่น ตัวอย่างการใช้งาน ได้แก่

  • อิเล็กทรอนิกส์: ใช้ในสมาร์ทโฟน, จอแสดงผล LED, ฮาร์ดดิสก์, และแบตเตอรี่ลิเธียม
  • พลังงานสะอาด: ใช้ทำแม่เหล็กถาวรในกังหันลมและมอเตอร์ของรถยนต์ไฟฟ้า
  • อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ: ใช้ในระบบนำทางและเซ็นเซอร์
  • อาวุธและเทคโนโลยีทางทหาร: ใช้ในระบบเรดาร์ เครื่องยนต์ไอพ่น และอุปกรณ์เลเซอร์
  • เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์: ใช้ในกระบวนการดูดซับนิวตรอน

 

ซินเจียงอุยกูร์และบทบาทที่อาจเกิดขึ้น

เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์เป็นศูนย์กลางการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของจีน มีแหล่งสำรองพลังงานมหาศาล และยังเป็นแหล่งแร่ที่สำคัญ ซึ่งจีนต้องการใช้สรรพกำลังด้านต่างๆ ในการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์

 

ซินเจียงอุยกูร์จึงเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของจีน อาจเป็นแหล่งแร่หายากที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ แม้ว่าแหล่งแร่หลักของจีนจะอยู่ในมองโกเลียในและเสฉวน แต่บางรายงานระบุว่า ซินเจียงอาจมีศักยภาพในการผลิต REEs ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้จีนต้องการควบคุมภูมิภาคนี้อย่างเข้มงวด

 

สรุป

แร่หายากเป็นมากกว่าเพียงวัตถุดิบในอุตสาหกรรม แต่ยังเป็นอาวุธยุทธศาสตร์ที่จีนและสหรัฐฯ ใช้ต่อรองกันในเวทีโลก

 

แม้ว่าสหรัฐฯ จะพยายามลดการพึ่งพาจีน แต่กระบวนการนี้ต้องใช้เวลาและการลงทุนจำนวนมาก ดังนั้น ในระยะสั้น จีนยังคงเป็นผู้เล่นหลักในสงครามการค้าแร่หายาก ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ของโลกต่อไป

 

หมายเหตุ:

จากข้อมูลสถาบันสถิติ Statista ปี 2565 ประเทศที่ครองส่วนแบ่งผลิตแร่หายากมากที่สุดของโลก คือ

อันดับ 1 จีน คิดเป็น 70% ผลิตได้ 210,000 ตัน/ปี

อันดับ 2 สหรัฐ คิดเป็น 14.33% ผลิตได้ 43,000 ตัน/ปี

อันดับ 3 ออสเตรเลีย คิดเป็น 6% ผลิตได้ 18,000 ตัน/ปี

อันดับ 4 เมียนมา คิดเป็น 4% ผลิตได้ 12,000 ตัน/ปี

อันดับ 5 ไทย คิดเป็น 2.37% ผลิตได้ 7,100 ตัน/ปี

 

แหล่งอ้างอิง

  • U.S. Geological Survey (USGS), 2025
  • National Geographic, "Rare Earth: The Battle of Resources", 2024
  • Bangkokbiznews, "จีนคุมตลาดแร่หายากอย่างไร", 2024
  • Bangkokbiznews, "ส่องขุมทรัพย์ ‘แร่หายาก’ ที่ธุรกิจ ‘ชิป’ และ ‘EV’ ขาดไม่ได้", 2023
  • Reuters, "U.S. steps up rare earths independence", 2023

 

Thailand Web Stat