สวทช. จับมือพันธมิตรตั้ง TCCA หนุนเทคโนโลยี CCUS สู่ความยั่งยืน

16 มีนาคม 2568

สวทช.-พันธมิตรเปิดตัว TCCA ผลักดันเทคโนโลยีดักจับ กักเก็บ และใช้ประโยชน์คาร์บอน หนุนไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน เสริมศักยภาพแข่งขันอุตสาหกรรมสู่เวทีโลก

เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2565 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับพันธมิตรจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) จัดตั้งโครงการ Thailand CCUS Alliance (TCCA) ซึ่งจะเป็นเครือข่ายพันธมิตรด้านเทคโนโลยีการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี CCUS และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก สู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนอย่างยั่งยืน ณ โรงแรมโนโวเทล ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต

 

ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญของประเทศ สวทช. ในฐานะหน่วยงานภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยการจัดตั้ง TCCA จะเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี CCUS ในประเทศไทย”
 

ดร. อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า “การสร้างเครือข่าย TCCA จะช่วยให้ทุกภาคส่วนทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการลงทุน และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงทุนสนับสนุนจากระดับนานาชาติ ทั้งนี้ โครงการนี้มุ่งหวังให้เกิดการใช้เทคโนโลยี CCUS ในการลดการปล่อยคาร์บอนและขับเคลื่อนเป้าหมาย Carbon Neutrality ของประเทศไทย”

 

ดร. ขจรศักดิ์ เฟื่องนวกิจ หัวหน้าโครงการ TCCA กล่าวว่า “โครงการ TCCA จะมีระยะเวลา 3 ปี (2567-2569) โดยในปีแรกเราสามารถจัดตั้งเครือข่ายพันธมิตรอย่างเป็นทางการและจะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบ และสร้างโอกาสในการลงทุน โดยในปีที่ 3 จะพัฒนาโครงการนำร่อง (Demonstration project) ของเทคโนโลยี CCUS ในประเทศไทย”

 

ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) กล่าวเสริมว่า ประเทศไทยตั้งเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามแผน NDC 3.0 ภายในปี 2573 ซึ่งการใช้เทคโนโลยี CCUS จะเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้ และประเทศไทยต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการลดการปล่อยก๊าซเพื่อรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
 

การบรรลุเป้าหมาย Net Zero จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการพัฒนากลไกสนับสนุนที่เหมาะสม เช่น มาตรการภาษีและการสนับสนุนด้านการเงินผ่านกองทุนต่างๆ รวมทั้งเงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ ประเทศไทยอาจต้องขอรับการสนับสนุนจากต่างประเทศ เพื่อให้เจ้าของแหล่งเงินทุนเห็นความสำคัญและความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นเรื่องที่เร่งด่วน เพราะผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นส่งผลกระทบทั้งต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของประชาชน ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแนวทางที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ

 

คุณนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เทคโนโลยี CCUS จะช่วยลดต้นทุนภาษีคาร์บอนและค่าปรับจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกำหนด และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะกับประเทศที่มีมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน

 

รศ.ดร. สุพฤทธิ์ ตั้งพฤทธิ์กุล หัวหน้าศูนย์วิจัยการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวเสริมว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จะร่วมกับ TCCA ในการพัฒนางานวิจัยและสร้างบุคลากรทักษะสูงในด้าน CCUS เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมการสำรวจและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในประเทศไทย

 

การลงนาม MOU นี้เป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนเทคโนโลยี CCUS ในประเทศไทย โดยมีการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและสถาบันอุดมศึกษา การวิจัย และการสร้างนวัตกรรม (บพค.) ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพของไทยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและผลักดันเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในอนาคต

 

Thailand Web Stat