เทียบชัดๆ สิงคโปร์ vs มาเก๊า โมเดล "เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์"

22 มีนาคม 2568

เปรียบเทียบโมเดลสองยักษ์ใหญ่ IR กาสิโนรีสอร์ต มาเก๊าและสิงคโปร์ กับกิจกรรมเกมและความบันเทิงระดับโลก การควบคุม และความแตกต่างบนพื้นฐานของแนวคิดทางเศรษฐกิจ

สิงคโปร์ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดในการควบคุมธุรกิจการพนัน มีมาตรการเด่น ๆ ที่ใช้ได้ผลจริง และถึงแม้ว่าจะมีกฎหมายและมีหน่วยงานที่ออกแบบมาให้รัดกุมระดับนั้นก็ยังต้องเผชิญกับคดีฟอกเงินครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์เมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา

 

สิงคโปร์มี “โมเดลกาสิโน” แบบจำกัดและควบคุมอย่างเข้มงวด (Controlled and Restricted Casino Model) ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่น ๆ  โดยมีหน่วยงานที่ควบคุมกาสิโนคือ Gambling Regulatory Authority (GRA) หรือ สำนักงานกำกับดูแลการพนัน

 

มาตรการที่โดดเด่นและน่าสนใจคือ

1. ค่าธรรมเนียมเข้ากาสิโนสำหรับคนท้องถิ่น พลเมืองสิงคโปร์และผู้อยู่อาศัยถาวรต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 150 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 4,000 บาท) ต่อวัน หรือ 3,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 80,000 บาท) ต่อปี หากต้องการเข้าเล่นคาสิโน ซึ่งเป็นกลไกที่ออกแบบมาเพื่อ ยับยั้งการเข้ากาสิโนบ่อยเกินไป

 

2. Blacklisting รายชื่อห้ามเข้า
รัฐบาลสิงคโปร์มีระบบ "Self-exclusion" และ "Third-party exclusion" ซึ่งประชาชนสามารถร้องขอให้ตัวเองหรือสมาชิกในครอบครัวถูก แบน จากการเข้าเล่นกาสิโนได้ หากมีความเสี่ยงที่จะติดการพนัน หรือเกิดผลกระทบต่อครอบครัว

 

เทียบชัดๆ สิงคโปร์ vs มาเก๊า โมเดล \"เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์\"

 

3. กฎจำกัดการโฆษณา
กาสิโนถูกห้ามโฆษณาในประเทศเพื่อป้องกันการจูงใจคนในท้องถิ่น แต่ยังสามารถโปรโมทในต่างประเทศเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวได้

 

4. การควบคุมกำไรกาสิโน
รัฐบาลเก็บภาษีกาสิโนในอัตราสูง รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติถูกเก็บภาษีที่ 15% ในขณะที่รายได้จากคนสิงคโปร์ถูกเก็บที่ 22% เพื่อ ลดแรงจูงใจในการดึงดูดคนท้องถิ่น เข้ากาสิโน

 

5.โทษหนักสำหรับการละเมิดกฎหมาย
สิงคโปร์ลงโทษอย่างจริงจังกับการดำเนินการพนันผิดกฎหมาย หรือกาสิโนที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของใบอนุญาต ไม่ว่าจะเป็นโทษปรับมหาศาลหรือติดคุก

 

กลไกและมาตรการเหล่านี้ทำให้สิงคโปร์สามารถพัฒนา Marina Bay Sands และ Resorts World Sentosa ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกได้โดยไม่ปล่อยให้ปัญหาสังคมลุกลามมากเกินไป

 

และในส่วนของรายได้จากกาสิโนรีสอร์ตของสิงคโปร์ในปี 2022 สูงถึง 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 10% ของรายได้จากภาคบริการของสิงคโปร์ หรือราว 4% ของสัดส่วน GDP ทั้งหมด

 

ข้อมูลจาก Gaming Intelligence บริษัทข้อมูลข่าวกรองในอุตสาหกรรมการพนัน ระบุว่า รายได้จากการเล่นพนัน (Gross Gaming Revenue: GGR) ในกาสิโนรีสอร์ตทั้ง 2 แห่งของสิงคโปร์ในปี 2023 นั้นสูงถึง 5,250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

 

เทียบชัดๆ สิงคโปร์ vs มาเก๊า โมเดล \"เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์\"

 

เปรียบเทียบโมเดลกาสิโนแบบมาเก๊า กับ สิงคโปร์

มีความน่าสนใจมาก เพราะแม้ทั้งสองแห่งจะประสบความสำเร็จระดับโลก แต่แนวทางการพัฒนาและการควบคุมกลับมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน  ที่เห็นได้ชัดคือ กาสิโนสิงคโปร์อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด ในขณะที่กาสิโนมาเก๊าเป็นกาสิโนแบบเปิดมีการควบคุมน้อยกว่า ทำให้ประสบกับปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจสีเทา คดีฟอกเงินที่ทำให้จีนแผ่นดินใหญ่กวาดล้างและออกมาตรการจัดการที่เข้มงวดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อจัดการกับทัวร์พนัน VIP (ที่มาของการฟอกเงินมหาศาลในหมู่เจ้าหน้าที่ระดับสูง ปัญหาเรื้อรังของจีน)

 

ที่น่าสนใจคือกาสิโนในมาเก๊ามีหลายรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามขนาดและคอนเส็ปต์การให้บริการ แบ่งได้หลักๆ คือ

1. Integrated Resorts (IR) เป็นรีสอร์ทครบวงจรแบบเดียวกับสิงคโปร์ เป็นกาสิโนขนาดใหญ่ที่รวมสถานบันเทิงต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน เช่น โรงแรม ร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้ง โรงละคร และพื้นที่จัดประชุม เช่น

  • The Venetian Macao กาสิโนในธีมเวนิส มีพื้นที่คาสิโนขนาดใหญ่ รวมถึงห้างสรรพสินค้าและคลองจำลอง
  • City of Dreams รีสอร์ทสุดหรูพร้อมโรงแรม, โรงละคร, และแหล่งช้อปปิ้ง
  • Galaxy Macau โดดเด่นด้วยสระว่ายน้ำคลื่นเทียม และหาดทรายจำลอง

 

2. Standalone Casinos กาสิโนแบบเดี่ยว เป็นกาสิโนที่เน้นการเล่นเกมเป็นหลัก ไม่เน้นความบันเทิงอื่น ๆ เช่น Casino Lisboa กาสิโนเก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในมาเก๊า และ Grand Lisboa อาคารทรงดอกบัวอันโดดเด่น ที่มีทั้งกาสิโนและโรงแรม

 

3. Casino-Hotel โรงแรมพร้อมกาสิโน คือโรงแรมที่มีกาสิโนขนาดย่อมอยู่ภายใน เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากพักผ่อนและเล่นเกมเช่น Wynn Macau โรงแรมสุดหรูที่มีกาสิโนและแหล่งช้อปปิ้ง และ MGM Macau ที่มีความโดดเด่นด้วยดีไซน์สถาปัตยกรรมสุดอลังการ

 

4. VIP Rooms และ Junket Casinos ในส่วนนี้เป็นกาสิโนเฉพาะกลุ่มลูกค้าวีไอพีหรือผู้เล่นระดับสูง มีห้องเล่นเกมส่วนตัว และมักมีเอเจนต์ (Junket Operator) คอยดูแลลูกค้ากลุ่มนี้เป็นพิเศษ

 

5. Themed Casinos กาสิโนธีมพิเศษ บางแห่งเน้นการสร้างบรรยากาศให้แตกต่างเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น Studio City กาสิโนธีมฮอลลีวูด ที่มีเครื่องเล่นและโชว์สุดอลังการ และ Parisian Macao ที่จำลองบรรยากาศแบบปารีส มีหอไอเฟลจำลอง

 

แนวคิดและเป้าหมายการพัฒนา

มาเก๊ามุ่งเน้นเป็น ศูนย์กลางการพนันระดับโลก (World Gambling Hub) รายได้หลักพึ่งพาอุตสาหกรรมกาสิโนมากกว่า 80% ของเศรษฐกิจ จึงเปิดกว้างให้ผู้ประกอบการหลายรายเข้ามาลงทุนเพื่อขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว

 

ส่วนสิงคโปร์ เน้นไปที่การสร้าง Integrated Resorts (IR) หรือ "รีสอร์ตครบวงจร" ซึ่งกาสิโนเป็นแค่ ส่วนหนึ่ง ของโครงการ โดยมีเป้าหมายหลักคือการ ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการประชุมระดับนานาชาติ (MICE) มากกว่าพึ่งพาการพนันเพียงอย่างเดียว และมีผู้ประกอบการเพียง 2 ราย เท่านั้นที่ได้รับสัมปทาน คือ Marina Bay Sands และ Resorts World Sentosa

 

รายได้และขนาดตลาด

มาเก๊า เป็นตลาดกาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในโลก รายได้ในปีที่รุ่งเรือง (ก่อนโควิด) ทะลุ 36,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีกาสิโนมากกว่า 40 แห่ง เช่น The Venetian Macau, Galaxy Macau รายได้ส่วนใหญ่มาจาก นักพนันวีไอพี (High rollers) โดยเฉพาะจากจีนแผ่นดินใหญ่ ที่กลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับวิกฤตเศรษฐกิจมาถึงปัจจุบัน

ส่วนสิงคโปร์ แม้จะมีกาสิโนเพียงแค่ 2 แห่ง แต่สร้างรายได้ประมาณ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี ติดอันดับ Top 3 ของโลก โดยรายได้หลักมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจาก มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย และ จีน

 

การควบคุมและกฎหมาย

มาเก๊า การควบคุมยังค่อนข้างหลวม แม้มีการกำกับดูแล แต่ไม่ได้เข้มงวดมาก อนุญาตให้คนท้องถิ่นเล่นการพนันได้โดยไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเปิดกว้างให้มี "Junket Operators" หรือกลุ่มนายหน้าพานักพนันวีไอพีมาเล่น ซึ่งบางครั้งเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา

สิงคโปร์ มีการควบคุมอย่างเข้มงวด ผ่าน Casino Control Act คนท้องถิ่นต้องเสียค่าธรรมเนียมเข้ากาสิโนสูงถึง 150 ดอลลาร์สิงคโปร์ ต่อวัน (ประมาณ 4,000 บาท) หรือ 3,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ ต่อปี (ประมาณ 80,000 บาท) เพื่อป้องกันการติดพนัน มีระบบ Self-Exclusion และ Family Exclusion ช่วยป้องกันไม่ให้คนที่มีปัญหาการพนันเข้าเล่น จำกัดจำนวนผู้ประกอบการกาสิโนเหลือเพียง 2 ราย เพื่อควบคุมตลาดไม่ให้โตเกินไป

 

บรรยากาศและจุดขาย

มาเก๊า เน้นความอลังการ หรูหรา ตระการตา เหมือนลาสเวกัสในเอเชีย ดึงดูดนักพนันโดยตรงด้วยโต๊ะเกมมากมายและห้องพนันวีไอพีสุดพิเศษ มีการแสดงโชว์ การช้อปปิ้ง และความบันเทิงเสริม แต่ยังเน้น "การพนัน" เป็นจุดขายหลัก

สิงคโปร์ เน้นการเป็นแหล่งท่องเที่ยวครบวงจร มีทั้งกาสิโน โรงแรมระดับโลก สวนสนุก สวนน้ำ พิพิธภัณฑ์ และศูนย์ประชุม โดย Marina Bay Sands มี SkyPark และ Infinity Pool ที่โด่งดัง ส่วน Resorts World Sentosa มี Universal Studios เป็นตัวชูโรง ให้ภาพลักษณ์ที่ดู "พรีเมียม" และเข้าถึงได้มากกว่าการเน้นแค่การพนัน

 

ผลกระทบต่อสังคม

มาเก๊า มีรายได้จากการพนันสูงก็จริง แต่ทำให้เศรษฐกิจพึ่งพาการพนันมากเกินไป ส่งผลให้เกิดปัญหาสังคม เช่น อาชญากรรม การฟอกเงิน การติดพนัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนจีนแผ่นดินใหญ่

สิงคโปร์ รัฐบาลเข้มงวดเรื่องการป้องกันปัญหาสังคม โดยจำกัดการเข้าของคนท้องถิ่น และเก็บภาษีรายได้จากคาสิโนในอัตราสูง มีการส่งเสริมธุรกิจที่ไม่ใช่การพนันควบคู่กัน ทำให้เศรษฐกิจไม่ได้พึ่งพาคาสิโนเพียงอย่างเดียว

 

ถ้ามองในระยะยาวและความยั่งยืน ดูเหมือนโมเดลของ สิงคโปร์ จะมีความยั่งยืนมากกว่า เพราะเป็นระบบเศรษฐกิจที่ไม่พึ่งพาการพนันจนเกินไป และยังดึงดูดนักลงทุนระดับโลกได้มากกว่า

 

สิงคโปร์สร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นแหล่ง รีสอร์ตครบวงจรระดับพรีเมียม ทำให้แบรนด์หรูระดับโลกอยากเข้ามาลงทุน เช่น Louis Vuitton, Apple Store แบบลอยน้ำที่ Marina Bay Sands ส่วนมาเก๊าที่ดูเป็นกาสิโนล้วน ๆ ทำให้ภาพลักษณ์ดูเป็น "เมืองแห่งการพนัน" มากกว่าศูนย์กลางท่องเที่ยวระดับโลก

 

เทียบชัดๆ สิงคโปร์ vs มาเก๊า โมเดล \"เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์\"

 

แหล่งข้อมูล

รายงานจาก World Tourism Organization (UNWTO)

International Gambling Studies

Asia Gambling Brief / Gambling Insider

Thailand Web Stat