
เปิดทุกปม “Entertainment Complex” ประเทศไทย หลังผ่าน ครม. แพทองธาร
ความคืบหน้าล่าสุดของโครงการ Entertainment Complex ในประเทศไทย
Entertainment Complex หรือศูนย์รวมความบันเทิงครบวงจร เป็นหนึ่งในโครงการที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในช่วงปีที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐบาลไทยมีแผนที่จะพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องการความบันเทิงระดับพรีเมียม เช่น โรงแรมหรู ร้านอาหารชั้นนำ สถานที่จัดแสดงศิลปะวัฒนธรรม และที่สำคัญคือ “กาสิโน” ซึ่งเป็นหัวใจหลักของโครงการนี้
เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2568 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …. ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกที่มีการกำหนดแนวทางและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการพัฒนา Entertainment Complex ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
ร่างกฎหมายฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจนในการจัดตั้งและดำเนินการ Entertainment Complex โดยสาระสำคัญที่น่าสนใจ ได้แก่
1. การจำกัดพื้นที่กาสิโนภายในโครงการ
เพื่อป้องกันไม่ให้โครงการนี้กลายเป็นเพียงสถานที่เล่นการพนัน รัฐบาลได้กำหนดให้พื้นที่ของกาสิโนต้องไม่เกิน 10% ของพื้นที่ทั้งหมดของ Entertainment Complex ส่วนที่เหลือจะถูกพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวประเภทอื่น ๆ เช่น
• โรงแรมระดับ 5 ดาว
• ศูนย์การประชุมและนิทรรศการ
• ห้างสรรพสินค้าหรู
• สวนสนุกและสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม
• โรงละครและเวทีการแสดงระดับนานาชาติ
แนวทางนี้เป็นไปในลักษณะเดียวกับโครงการ Entertainment Complex ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น Marina Bay Sands ในสิงคโปร์ หรือ Resorts World Genting ในมาเลเซีย ซึ่งมีการจัดสัดส่วนพื้นที่ให้เกิดความสมดุลระหว่างความบันเทิงและการพนัน
2. การลงทุนและรายได้ที่คาดการณ์
รัฐบาลคาดว่าโครงการ Entertainment Complex จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยครั้งใหญ่ โดยคาดการณ์รายได้และผลกระทบทางเศรษฐกิจดังนี้
• สร้างรายได้ให้ประเทศระหว่าง 119,000 – 238,000 ล้านบาทต่อปี
• รัฐบาลจะสามารถจัดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมจากธุรกิจในโครงการได้ประมาณ 12,000 – 39,000 ล้านบาทต่อปี
• ดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท
3. การกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าใช้บริการกาสิโน
ในร่างกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับผู้ที่จะเข้าใช้บริการกาสิโนอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะสำหรับคนไทย ซึ่งอาจรวมถึง
• การกำหนดอายุขั้นต่ำ
• การตรวจสอบสถานะทางการเงิน
• การเก็บค่าธรรมเนียมเข้าชม เพื่อป้องกันปัญหาการพนันที่อาจเกิดขึ้น
ซึ่งในร่างของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คกก.) กำหนดให้บุคคลสัญชาติไทยซึ่งจะเล่นพนันในกาสิโนต้องมีเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท ต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน และผ่านการตรวจสอบตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ คกก. บริหาร กำหนด (เดิมกำหนด ห้ามเฉพาะผู้มีสัญชาติไทยซึ่งยังมิได้ลงทะเบียนและชำระค่าธรรมเนียมตามที่ คกก. กำหนด)
แนวทางนี้อาจคล้ายกับกฎหมายของสิงคโปร์ที่กำหนดให้คนสิงคโปร์ต้องจ่ายค่าเข้า 100 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อวัน หากต้องการเข้าไปเล่นพนันใน Marina Bay Sands
ความท้าทายและกระแสตอบรับของสังคม
แม้ว่ารัฐบาลจะมีความคาดหวังสูงกับโครงการนี้ แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น
1. ความกังวลเรื่องปัญหาสังคม
กลุ่มนักวิชาการและองค์กรด้านสังคมบางส่วนแสดงความกังวลว่าโครงการนี้อาจนำไปสู่ปัญหาการติดการพนัน อาชญากรรม และการฟอกเงิน โดยเฉพาะหากไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวด และลงลึกในรายละเอียดต่างๆ
โดยเฉพาะกลุ่มนักวิชาการที่กังวลว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ยังขาดกลไกในการเยียวยาและบำบัดผู้ที่อาจติดการพนัน รวมถึงการจัดการผลกระทบเชิงสังคมที่อาจตามมา หากไม่มีมาตรการป้องกันและควบคุมที่ชัดเจน
2. การแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน
ปัจจุบัน ประเทศเพื่อนบ้านของไทย เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และกัมพูชา มีการพัฒนา Entertainment Complex และกาสิโนในระดับสากลแล้ว ซึ่งทำให้ไทยต้องสร้างจุดขายที่แตกต่างเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
3. การเลือกพื้นที่ตั้งโครงการ
ขณะนี้ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า Entertainment Complex แห่งแรกของไทยจะตั้งอยู่ที่ไหน แต่มีการคาดการณ์ว่าอาจเป็น
• กรุงเทพมหานคร (บริเวณท่าเรือคลองเตย) เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
• พัทยา – ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญอยู่แล้ว
• ภูเก็ต – เพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์
ขณะนี้ ร่างพระราชบัญญัตินี้กำลังเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับแก้ไขรายละเอียดเพิ่มเติม และหากผ่านการอนุมัติ Entertainment Complex อาจกลายเป็น “เมกะโปรเจกต์” ที่เปลี่ยนโฉมประเทศไทยในทศวรรษหน้า