
สำรวจ "ตึก สตง." นวัตกรรมก่อสร้างยุคใหม่ไทย ภายใต้เทคโนโลยีจีน
ก่อนเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง โดยมีศูนย์กลางที่เมียนมา เมื่อเวลา 13.20 น. ของวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบกับประเทศไทยอย่างหนักในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ส่งผลให้อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแห่งชาติ (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างไปได้เพียง 30% ถล่มลงมาทั้งอาคาร สร้างความตื่นตระหนกและความเสียหายอย่างใหญ่หลวง รวมไปถึงข้อกังขาต่างๆ นาๆ ถึงวิศวกรรมการก่อสร้างอาคารดังกล่าว
โพสต์ทูเดย์ได้ร่วมสังเกตการณ์และหาคำตอบจากแหล่งข่าวต่างๆ ในเรื่องดังกล่าวโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
โดยล่าสุดพบว่า การก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแห่งชาติ (สตง.) กำลังก้าวเข้าสู่หมุดหมายสำคัญ หลังจากโครงสร้างหลักเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย โดยอาคารแห่งนี้ถือเป็นโครงการแรกในต่างประเทศของ บริษัทจงเที่ยสือจวี่จี๋ตวน (China Railway No.10 Engineering Group – CRCC) หนึ่งในกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีนขนาดใหญ่ ซึ่งได้รับความสนใจจากทั้งไทยและจีนในแง่ของความร่วมมือทางเทคโนโลยีและยุทธศาสตร์การก่อสร้าง ร่วมกับพันธมิตรฝั่งไทยคือ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD)
ความสำเร็จระดับหมุดหมาย: รายงานจากสื่อจีน
เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 สื่อจีนรายงานว่า โครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานใหม่ของ สตง. ประเทศไทย (Thailand Office of the Auditor General) ได้บรรลุหมุดหมายสำคัญ หลังจากการเทคอนกรีตชั้นสุดท้ายของโครงสร้างหลักสำเร็จ โครงการนี้ดำเนินงานโดย บริษัทจงเที่ยสือจวี่จี๋ตวน (China Railway No.10 Engineering Group – CRCC) ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจจีนขนาดใหญ่ และนับเป็นโครงการอาคารสูงพิเศษแห่งแรกของบริษัทที่ดำเนินการในต่างประเทศ
ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงความคืบหน้าด้านโครงสร้าง แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการขยายบทบาทของจีนในตลาดอุตสาหกรรมก่อสร้างระดับภูมิภาค โดยตัวแทนของบริษัทจงเที่ยสือจวี่ กล่าวว่า
“โครงการนี้เป็นหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญสำหรับเรา เนื่องจากเป็นอาคารสูงพิเศษแห่งแรกที่บริษัทดำเนินการนอกประเทศจีน ด้วยความร่วมมือของทีมงานและการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย เราจึงสามารถก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ และบรรลุหมุดหมายสำคัญนี้ได้สำเร็จ เราหวังว่าอาคารแห่งนี้จะเป็นต้นแบบของโครงการก่อสร้างที่มีคุณภาพสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
เทคโนโลยีก่อสร้างล้ำสมัย "แกนกลางรับแรง + พื้นไร้คาน"
โครงการนี้ได้นำเทคโนโลยีโครงสร้างอาคารสูงพิเศษมาใช้ โดยเฉพาะระบบ "แกนกลางรับแรง + พื้นไร้คาน" ซึ่งให้ข้อดีหลายประการ เช่น:
- เพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่น – ลดการสั่นสะเทือนของอาคารเมื่อเกิดแผ่นดินไหวหรือแรงลมแรง
- ลดน้ำหนักของอาคาร – ส่งผลให้สามารถประหยัดวัสดุ ลดต้นทุน และเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในอาคาร
- ช่วยให้โครงสร้างภายในโปร่งโล่ง – รองรับการออกแบบภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และเทคนิคการก่อสร้างที่สำคัญยังรวมถึง:
- ระบบสไลด์หล่อคอนกรีต (Slip Forming) ช่วยเพิ่มความรวดเร็วและความแม่นยำของการก่อสร้าง ใช้อุปกรณ์เลื่อนแบบหล่อขึ้นทีละ 1.2 เมตร ควบคุมความหนาของคอนกรีตไม่เกิน 25 ซม. และรักษาความแม่นยำในแนวนอนให้ไม่คลาดเคลื่อนเกิน 1 ซม.
- นั่งร้านปีนไต่อัตโนมัติ (Self-Climbing Scaffolding System) ช่วยเสริมความปลอดภัยของทีมงาน ความเร็วในการก่อสร้าง พร้อมประหยัดวัสดุ
- เทคนิคการยกติดตั้ง (Lifting Installation) ที่ช่วยให้การก่อสร้างพื้นไร้คานมีคุณภาพสูง ได้ผิวเรียบและแข็งแรง ติดตั้งและรื้อถอนได้รวดเร็ว
มาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก
โครงการนี้ให้ความสำคัญกับ มาตรฐานด้านความปลอดภัยและคุณภาพระดับสากล ซึ่งรวมถึง:
- การฝึกอบรมพนักงาน 100% ครอบคลุมทุกด้านทั้งความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และมาตรฐานคุณภาพ
- การตรวจสอบคุณภาพรายวัน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานไทย จีน และมาตรฐานอุตสาหกรรมระดับโลก
- มาตรการควบคุมคุณภาพวัสดุ โดยมีการทดสอบและตรวจสอบอย่างเข้มงวด
ศูนย์กลางใหม่ของหน่วยงานตรวจสอบภาครัฐ
อาคาร สตง. ใช้งบประมาณแผ่นดิน 2,136 ล้านบาท ตั้งบนเนื้อที่ 11 ไร่ บริเวณย่านการค้าตลาดนัดจตุจักร ใกล้ MRT กำแพงเพชร ติดสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (บางซื่อ) ตรงข้ามศูนย์การค้า JJ MALL พื้นที่ก่อสร้างทั้งหมด 96,041 ตารางเมตรเมตร มีความสูงราว 30 ชั้น
จัดอยู่ในหมวดหมู่อาคารสูงพิเศษตามมาตรฐานสากล และต้องอาศัยเทคโนโลยีการก่อสร้างขั้นสูงตลอดกระบวนการ เมื่อแล้วเสร็จ อาคารนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางการทำงานของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายให้เป็นศูนย์กลางบริการภาครัฐแห่งใหม่ของไทย
ตัวโครงการประกอบด้วย 3 อาคารหลัก ได้แก่:
- อาคารสำนักงานหลัก สูง 137 เมตร
- อาคารประชุมและศูนย์สัมมนา
- อาคารจอดรถและระบบสาธารณูปโภค
ล่าสุดนายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษก สตง. แถลงถึงกรณีนี้ว่า ปัจจุบันโครงการก่อสร้างมีความคืบหน้าไปแล้ว ร้อยละ 30 ของแผนการดำเนินงาน โดยขณะนี้อยู่หน้างานและกำลังตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้น
ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ
ความสำเร็จของโครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงหมุดหมายด้านการก่อสร้าง แต่ยังสะท้อนถึง บทบาทของจีนในการขยายตลาดอุตสาหกรรมก่อสร้างเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างจริงจัง คาดว่าเม็ดเงินลงทุนของโครงการนี้อาจสูงถึง 100 ล้านหยวน (ประมาณ 480 ล้านบาท) ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของจีนในการดำเนินโครงการระดับสูงในต่างประเทศ
อาคาร สตง. ใหม่ จึงไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของนวัตกรรมด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีโครงสร้างสมัยใหม่ แต่ยังเป็นหมุดหมายสำคัญของ ความร่วมมือไทย-จีน ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเมือง และเศรษฐกิจ โครงการนี้แสดงให้เห็นว่าบริษัทจีนสามารถสร้างอาคารสูงพิเศษที่ได้มาตรฐานในต่างแดน และจะเป็นต้นแบบของอาคารสำนักงานภาครัฐในอนาคต
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในวันนี้ ก็ยิ่งสร้างความสงสัยว่า หากตึกดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์ในวันหน้า และหากเกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีกในอนาคต อาคารสำนักงานใหม่ของ สตง. หน่วยงานตรวจสอบการเงินขิงแผ่นดิน จะสามารถยืนหยัดได้หรือไม่? เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องติดตามต่อไป
ส่องเทคโนโลยี "แกนกลางรับแรง" + "พื้นไร้คาน" คืออะไร?
การรวม "แกนกลางรับแรง" (Core Structure) กับ "พื้นไร้คาน" (Flat Slab/Post-Tension Slab) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้กันแพร่หลายในอาคารสูงและโครงสร้างที่ต้องการความแข็งแรงและพื้นที่ใช้งานที่มีประสิทธิภาพ
แกนกลางรับแรง เป็นโครงสร้างหลักของอาคารที่ออกแบบมาเพื่อรับแรงต่าง ๆ คือ แรงในแนวดิ่ง (Vertical Load) จากน้ำหนักของอาคารและสิ่งของภายใน และแรงด้านข้าง (Lateral Load) คือแรงจากลมและแผ่นดินไหว
ประเภทของแกนกลางรับแรง
- แกนกลางคอนกรีตเสริมเหล็ก (Reinforced Concrete Core) – ใช้กันมากในอาคารสูง
- แกนกลางโครงสร้างเหล็ก (Steel Core) – เบากว่าและใช้ในอาคารที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง
- แกนผสม (Composite Core) – รวมทั้งคอนกรีตและเหล็ก
ข้อดีของแกนกลางรับแรง คือจะทำให้โครงสร้างอาคารแข็งแรงและมั่นคง ช่วยต้านทานแรงแผ่นดินไหวและแรงลม และทำให้อาคารสูงขึ้นโดยไม่ต้องใช้เสาขนาดใหญ่
ส่วนเทคโนโลยีพื้นไร้คานระบบ Post-Tension เป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริมกำลังด้วยแรงดึง (Prestressed Concrete) ที่ใช้ลวดเหล็กแรงดึงสูง (Tendon) เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับแรงของพื้น ทำให้สามารถลดหรือตัดเสาคานออกได้ ซึ่งช่วยให้มีพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขึ้นและลดน้ำหนักโครงสร้าง
พื้นไร้คาน เป็นระบบพื้นอาคารที่ไม่มีคานรองรับ แต่ใช้เสาหรือแกนกลางเป็นตัวรับน้ำหนัก ประเภทของพื้นไร้คาน มีทั้ง Flat Slab (พื้นแบนธรรมดา) ใช้แผ่นพื้นหนาขึ้นเพื่อรับน้ำหนัก และ Post-Tension Slab (พื้นไร้คานระบบพรีเครียด) ใช้ลวดเหล็กดึงแรง (Tendon) เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและลดความหนาของพื้น
ข้อดีของพื้นไร้คาน ทำให้เพดานเรียบและสวยงาม ลดน้ำหนักโครงสร้าง ช่วยให้เสาขนาดเล็กลง และทำให้ติดตั้งระบบไฟฟ้าและท่อได้ง่ายขึ้น
การรวม "แกนกลางรับแรง" + "พื้นไร้คาน"
การออกแบบนี้เหมาะกับอาคารสูง เช่น คอนโดมิเนียม สำนักงาน และโรงแรม ก็คือมีแกนกลางรับแรงช่วยรับแรงด้านข้างและแรงในแนวดิ่ง ขณะที่พื้นไร้คานช่วยลดน้ำหนักอาคาร
ตัวอย่างอาคารที่ใช้ระบบนี้
- Burj Khalifa (ดูไบ) – ใช้ แกนกลางคอนกรีต + พื้น Post-Tension
- One Bangkok (กรุงเทพฯ) – อาคารสูงที่คาดว่าจะใช้ระบบนี้
- Salesforce Tower (ซานฟรานซิสโก) – ใช้ แกนกลางรับแรง + พื้นไร้คาน เพื่อให้ต้านทานแผ่นดินไหว
สรุปคือ "แกนกลางรับแรง" (Core Structure) + "พื้นไร้คาน" (Flat Slab/Post-Tension Slab) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของอาคารสูง พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานพื้นที่ภายใน เหมาะกับอาคารสูงที่ต้องการต้านทานแผ่นดินไหว ลดน้ำหนักโครงสร้าง และเพิ่มพื้นที่ใช้สอย