ส่องการทำงาน "SMS เตือนภัยพิบัติ" เทคโนโลยีช่วยชีวิต มีกี่แบบ
ส่องระบบการทำงาน "SMS เตือนภัยแผ่นดินไหว" และ "ระบบแจ้งเตือนภัยสาธารณะผ่านมือถือแบบเจาะจง" (Cell Broadcast System - CBS) ของไทย ความจำเป็นเร่งด่วน ที่ประชาชนยังรอคอย!
การทำงานของ SMS เตือนภัยแผ่นดินไหวในประเทศไทย เทคโนโลยีที่ช่วยชีวิต
แผ่นดินไหวเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นโดยไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ และส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย อย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวผ่าน SMS หรือข้อความสั้นสามารถช่วยลดความสูญเสียได้โดยการแจ้งเตือนประชาชนให้มีเวลาเตรียมตัวรับมือก่อนแรงสั่นสะเทือนรุนแรงจะมาถึง
โพสต์ทูเดย์รวบรวมข้อมูลเพื่ออธิบายถึงกระบวนการทำงานของระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวผ่าน SMS ในประเทศไทย ตั้งแต่การตรวจจับแผ่นดินไหวไปจนถึงการส่งข้อความแจ้งเตือนประชาชน
1. การตรวจจับแผ่นดินไหว
ในประเทศไทย ระบบตรวจจับแผ่นดินไหวดำเนินการโดย กรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งมีเครือข่ายสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวกระจายอยู่ทั่วประเทศ ข้อมูลจากเซนเซอร์เหล่านี้จะถูกส่งไปยังศูนย์วิเคราะห์ที่กรุงเทพมหานครเพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์ความรุนแรงของแผ่นดินไหว
เมื่อเกิดแผ่นดินไหว ระบบจะวิเคราะห์ขนาด (Magnitude) จุดศูนย์กลาง (Epicenter) และความลึกของแผ่นดินไหว (Depth) หากพบว่าแผ่นดินไหวมีขนาดใหญ่พอที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย ระบบจะดำเนินการแจ้งเตือนผ่านช่องทางต่างๆ รวมถึง SMS
2. กระบวนการวิเคราะห์และตัดสินใจแจ้งเตือน
หลังจากที่ศูนย์วิเคราะห์ได้รับข้อมูลแผ่นดินไหว ระบบจะใช้โมเดลทางคณิตศาสตร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อประเมินผลกระทบของแผ่นดินไหว เช่น
- พื้นที่ที่อาจได้รับแรงสั่นสะเทือนรุนแรง
- ระยะเวลาที่แรงสั่นสะเทือนจะเดินทางไปถึงแต่ละพื้นที่
- โอกาสเกิดอาฟเตอร์ช็อก
หากระบบพิจารณาแล้วว่าแผ่นดินไหวมีโอกาสสร้างความเสียหายต่อประชาชน จะส่งคำสั่งไปยังผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเพื่อกระจายข้อความเตือนภัยไปยังผู้ใช้มือถือในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
3. การส่ง SMS เตือนภัยแผ่นดินไหว
ในประเทศไทย กรมอุตุนิยมวิทยาเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการแจ้งเตือนภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมถึงแผ่นดินไหว เมื่อได้รับคำสั่งจากกรมอุตุนิยมวิทยา เครือข่ายโทรคมนาคม เช่น AIS, TrueMove H และ DTAC จะส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ข้อความเตือนภัยมักประกอบด้วยข้อมูลสำคัญ เช่น
- ขนาดของแผ่นดินไหว (Magnitude)
- ตำแหน่งศูนย์กลางของแผ่นดินไหว
- คำแนะนำในการปฏิบัติตัว เช่น "หาที่กำบังที่ปลอดภัยทันที" หรือ "ออกจากอาคารที่ไม่มั่นคง"
4. ข้อจำกัดของระบบ SMS เตือนภัยแผ่นดินไหว
แม้ว่าระบบ SMS เตือนภัยแผ่นดินไหวจะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น
- ความล่าช้าในการส่ง SMS เนื่องจากเครือข่ายโทรศัพท์มือถืออาจมีปัญหาความหนาแน่นของการส่งข้อมูลในช่วงเวลาฉุกเฉิน ทำให้การส่ง SMS อาจล่าช้ากว่าระบบเตือนภัยรูปแบบอื่น
- ความแม่นยำของการระบุตำแหน่งผู้ใช้มือถือ ระบบอาศัยตำแหน่งของเสาสัญญาณโทรศัพท์ในการระบุพื้นที่เสี่ยง ซึ่งอาจไม่ละเอียดเท่ากับระบบแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชันหรือ GPS
- การเข้าถึงสัญญาณมือถือ ในบางพื้นที่ห่างไกลหรืออยู่ในอาคารปิดที่มีสัญญาณโทรศัพท์อ่อน การรับข้อความแจ้งเตือนอาจไม่ทันเวลาหรือไม่สามารถรับได้เลย
5. เทคโนโลยีเพิ่มเติมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแจ้งเตือน
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเตือนภัยแผ่นดินไหว หลายประเทศได้นำเทคโนโลยีอื่นมาใช้ร่วมกับ SMS เช่น
- แอปพลิเคชันแจ้งเตือนภัย (Earthquake Warning Apps) เช่น P-Warning ในไทย หรือ ShakeAlert ในสหรัฐฯ ซึ่งสามารถแจ้งเตือนผู้ใช้ได้เร็วกว่า SMS เนื่องจากทำงานผ่านอินเทอร์เน็ต
- ระบบการแจ้งเตือนฉุกเฉินผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ (Cell Broadcast System - CBS) ซึ่งสามารถส่งข้อความเตือนภัยไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และถึงประชาชนได้จำนวนมากนับล้านคน โดยไม่จำเป็นต้องสมัครบริการ
- ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ช่วยให้ระบบสามารถวิเคราะห์และคาดการณ์ผลกระทบของแผ่นดินไหวได้แม่นยำขึ้น
สรุปประเด็นระบบแจ้งเตือนภัยผ่านมือถือ (Cell Broadcast) ในไทย
- เริ่มต้นแนวคิด: หลังเหตุการณ์ไล่ยิงในห้างฯ (ต.ค. 2566) นายกฯ (เศรษฐา ทวีสิน) สั่งการให้พัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยผ่านมือถือ
- ความคืบหน้า: กสทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือและทดสอบระบบในบางพื้นที่ตั้งแต่ต้นปี 2567
- อุปสรรค: ปัญหางบประมาณและการเมือง ทำให้โครงการล่าช้า ต้องรอการอนุมัติจากรัฐบาลและบอร์ด กสทช.
- เหตุแผ่นดินไหว (มี.ค. 2568): ระบบ SMS แจ้งเตือนช้าและจำกัดจำนวนข้อความ ทำให้ประชาชนตื่นตระหนก
- ปัจจุบันยังไม่แน่ชัดว่า Cell Broadcast จะเปิดใช้งานจริงเมื่อใด ขณะที่ประชาชนรอระบบแจ้งเตือนที่มีประสิทธิภาพจากภาครัฐ
สรุป: โครงการมีความคืบหน้าแต่ยังไม่สมบูรณ์ ติดปัญหางบประมาณและขั้นตอนการอนุมัติ ขณะที่เหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งล่าสุดสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนของระบบนี้