รองผู้ว่าฯ ทวิดา หนุนเชื่อมข้อมูลโรงพยาบาลให้เป็นหนึ่งเดียว
“รักษาต่อเนื่อง-ส่งต่อไม่สะดุด” รองฯ ทวิดา หนุนเชื่อมข้อมูลโรงพยาบาลให้เป็นหนึ่งเดียว พลิกโฉมระบบสาธารณสุขกรุงเทพฯ เมื่อ "การเชื่อมโยง" กลายเป็นหัวใจของการพัฒนา
ห้องประชุมนพรัตน์ ชั้น 5 (วันที่ 3 เมษายน 2568) ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) กลายเป็นพื้นที่สำคัญของการพูดคุยเชิงลึกว่าด้วยการปฏิรูประบบสาธารณสุขของเมืองหลวง ภายใต้การนำของ รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่นั่งหัวโต๊ะในการประชุมคณะกรรมการบริหารระบบสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 1/2568 ร่วมกับคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากหลายภาคส่วน
การประชุมในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การสรุปผลการดำเนินงาน แต่กลายเป็นเวทีแห่งวิสัยทัศน์ ที่สะท้อนถึงความพยายามของกรุงเทพมหานครในการขับเคลื่อนระบบสุขภาพให้ทันสมัย เชื่อมโยง และเข้าถึงได้อย่างแท้จริง
จุดเปลี่ยนของระบบ “ส่งต่อผู้ป่วย” ที่รอการจัดระเบียบใหม่
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่รองผู้ว่าฯ ทวิดาเน้นย้ำคือ การจัดระบบส่งต่อผู้ป่วย (Refer system) ที่ยังคงยึดติดกับโครงสร้างเก่า ซึ่งไม่ตอบโจทย์บริบทปัจจุบัน
“ระบบส่งต่อผู้ป่วยในอดีตถูกกำหนดไว้นานมากแล้วว่าใครจะถูกส่งไปที่ไหน แต่วันนี้ความเป็นจริงเปลี่ยนไป เราต้องถามว่า ยังเหมาะสมอยู่หรือไม่?” – รศ.ทวิดา กมลเวชช
กรุงเทพมหานครพยายามแบ่งพื้นที่ให้เป็น “โซนสุขภาพ” เพื่อให้ระบบส่งต่อมีความยืดหยุ่นและยึดโยงกับสภาพแวดล้อมจริง แต่นั่นยังไม่เพียงพอ หากไม่มีระบบข้อมูลที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐาน การส่งต่อจะยังคงเป็นภาระ ทั้งต่อบุคลากรและผู้รับบริการ
ทั้งนี้ รองผู้ว่าฯ ทวิดา กล่าวในที่ประชุมว่า มีความก้าวหน้าที่ต้องคุยกันในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบข้อมูลที่เราต้องเชื่อมกันให้การรัษาพยาบาลเป็นหนึ่งเดียวกันจริง ๆ หรือแม้แต่กระทั่งเรื่องการทำระบบส่งต่อ ซึ่งเรื่องของระบบส่งต่อจะส่งผลไปยังอีกเรื่องหนึ่งในอนาคตที่ไม่รู้ว่าหน่วยใหญ่คิดยังไง อาจจะต้องมีการปรึกษาสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ด้วย ซึ่งระบบ Refer (การส่งต่อผู้ป่วย) ในอดีตถูกกำหนดมานานมากแล้วว่าใครไปไหน เพราะฉะนั้นเขายังอยู่ให้ไปไหนที่นั่นหรือเปล่า เขาไปเปลี่ยนกันเองในระบบเป็นอัตราส่วนเท่าไหร่แล้ว
พบว่ามุมหนึ่งที่เราทำเป็นโซนเหมือนที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ทำ วัตถุประสงค์ของการส่งก็น่าจะตามโซน เพราะดูตัวอย่างนโยบายสาธารณสุขที่เราพยายามทำ ถึงแม้เราจะพยายามเพิ่ม accessibility (การเข้าถึงได้) ทั้งในแง่ระบบ Tele ทั้งในแง่ระบบข้อมูล ทั้งในแง่ของการเพิ่มตัวโรงพยาบาล หรืออะไรก็ตาม แต่ในท้ายที่สุดก็ต้องมีวิธีการในการส่งที่เป็นระบบ และมีมาตรฐาน
โมเดล "วชิรพยาบาล" กับความสำเร็จของ HA Network
ในที่ประชุมมีการหยิบยกกรณีศึกษา "วชิรพยาบาล" ซึ่งสามารถสร้าง HA Network (เครือข่ายคุณภาพสถานพยาบาล) โดยเน้นการดูแลโรคเบาหวานได้อย่างเป็นรูปธรรม ปัจจัยสำคัญคือ วชิรพยาบาลเป็นจุดศูนย์กลางการส่งต่อของ 4 เขต ทำให้เกิดการรวมทรัพยากรและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
ในทางตรงข้าม “ราชพิพัฒน์” ที่แม้มีความเข้มแข็งในระดับพื้นที่ แต่การเลือกทำทุกเรื่องแบบกระจาย ทำให้ไม่สามารถสร้าง Network ที่เฉพาะทางได้เท่ากับวชิรพยาบาล
คำถามคือ – กรุงเทพฯ ควรเดินตามโมเดลไหน?
ปัญหา “ข้อมูลไม่เชื่อม” = งานซ้ำซ้อน
อีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญที่ถูกหยิบยก คือความล้มเหลวของ การเชื่อมโยงระบบข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ที่แม้อยู่ในโซนเดียวกัน ก็ยังต้องกรอกเอกสารใหม่เมื่อข้ามสังกัด นำไปสู่การ “ดับเบิ้ลงาน” ให้กับเจ้าหน้าที่
“ถ้าเรายังปล่อยให้แต่ละหน่วยงานต่างคนต่างทำ ระบบจะไม่สามารถเดินหน้าได้…ถึงเวลาที่อนุกรรมการแต่ละเรื่องต้องเชื่อมกันเอง” – รศ.ทวิดา กล่าว
สิ่งที่กรุงเทพฯ ต้องทำไม่ใช่แค่การแบ่งโซนให้ชัดเจน แต่ต้องลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานของ "การลิงก์ข้อมูล" ให้สามารถไหลเวียนระหว่างหน่วยงานได้อย่างแท้จริง ทั้งในแง่เทคโนโลยีและระบบกายภาพ
“โซนสุขภาพ” ในอนาคต: อิสระ หรือเป็นภาระ?
แนวคิดการแบ่งโซนสุขภาพในปัจจุบันถูกตั้งคำถามว่า หากโซนมีมากเกินไป แต่ไม่สามารถลิงก์กันได้จริง จะกลายเป็นภาระมากกว่าผลลัพธ์ที่ตั้งใจไว้ เช่น โซน 8 ที่โรงพยาบาลเวชการุณย์เสนอตัวดูแล อาจเผชิญข้อจำกัด หากไม่มีระบบสนับสนุนที่แข็งแรงเพียงพอ
ผลงานที่ผ่านมา: เริ่มเห็นรูปเป็นร่าง
นอกจากการพูดคุยเชิงยุทธศาสตร์ ที่ประชุมยังได้รับฟังผลการดำเนินงานจากคณะกรรมการต่าง ๆ เช่น
- คณะกรรมการขับเคลื่อนเขตสุขภาพ กทม.
- คณะกรรมการพัฒนาเครือข่ายบริการสาธารณสุขระดับชุมชน
- คณะกรรมการยกระดับคุณภาพชีวิตเขตเมือง
- และคณะกรรมการพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพดิจิทัล กทม.
รวมถึงการอัปเดตโครงการตรวจสุขภาพประชาชน 1 ล้านคน และกิจกรรม "วิ่งล้อมเมือง" ที่เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก
สรุป: กรุงเทพฯ กำลังเปลี่ยนวิธีคิดด้านสุขภาพ
การประชุมครั้งนี้อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการพัฒนาระบบสุขภาพกรุงเทพมหานคร แต่เป็น “จุดตั้งต้น” ที่สำคัญของการปฏิรูปอย่างจริงจัง
เมื่อการเชื่อมโยงระบบ ข้อมูล และหน่วยงานต่าง ๆ กลายเป็นหัวใจของการพัฒนา ระบบสุขภาพของเมืองหลวงแห่งนี้ก็มีโอกาสที่จะก้าวสู่อนาคตที่คนเมืองเข้าถึงการดูแลรักษาได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น