หนี้สายสีเขียวทะลุ 5 หมื่นล้าน ปธ.กก.วิสามัญแนะกทม.เร่งหาทางออก

09 เมษายน 2568

นภาพล เปิดแผลหนี้ BTSC พุ่งกว่า 5 หมื่นล้าน ชัชชาติยันต้องสู้ต่อ สภาอนุมัติจ่ายบางส่วน แต่ปมฟ้องร้องยังไม่จบ รอผลศึกษาพ.ร.บ.ร่วมทุนหาแนวทางแก้ไขก่อนหมดสัมปทานปี 2572

วันที่ 9 เมษายน 2568 ในการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สอง (ครั้งที่ 2) ประจำปี 2568 ณ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา นายนภาพล จีระกุล สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตบางกอกน้อย  รายงานผลการศึกษา คณะกรรมการวิสามัญเพื่อศึกษาปัญหาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวบางส่วน

โดยมีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. นายจักกพันธุ์ ผิวงาม นายวิศณุ ทรัพย์สมพล นางสาวทวิดา กมลเวชช นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯ กทม. คณะผู้บริหาร สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) หัวหน้าส่วนราชการและผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม
 

นายนภาพล จีระกุล สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตบางกอกน้อย นายนภาพล จีระกุล สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตบางกอกน้อย

นายนภาพล จีระกุล สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตบางกอกน้อย ในฐานะประธานคณะกรรมการวิสามัญเพื่อศึกษาปัญหาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวบางส่วน ได้นำเสนอรายงานผลการศึกษา ขณะที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ชี้แจงถึงแนวทางการแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งครอบคลุมถึงการชำระหนี้ให้กับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงที่ค้างชำระ รวมถึงปัญหาการฟ้องร้องที่เกิดขึ้น

รายงานผลการศึกษาของนายนภาพล จีระกุล

นายนภาพล จีระกุล ได้นำเสนอผลการศึกษาของคณะกรรมการวิสามัญที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2566 และต่อเนื่องมาถึงปี 2567 โดยระบุว่า กทม. ได้ชำระหนี้บางส่วนไปแล้วตามวาระที่ 104476,8842.76 แต่ยังมีหนี้ค้างชำระจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการเคลียร์ สรุปยอดหนี้ที่ค้างชำระกับ BTSC ดังนี้:

1. หนี้ช่วงมิถุนายน 2564 - ตุลาคม 2565

   - เงินต้น: 10,127 ล้านบาท  
   - ดอกเบี้ย: 2,118 ล้านบาท  
   - รวม: 12,245 ล้านบาท  

2. หนี้ช่วงพฤศจิกายน 2565 - ธันวาคม 2567 (หลังการฟ้องครั้งที่ 2)

   - เงินต้น: 14,235 ล้านบาท  
   - ดอกเบี้ย: 11,264 ล้านบาท  
   - รวม: 25,499 ล้านบาท  

3. ประมาณการค่าจ้างเดินรถปี 2568 (มกราคม - ธันวาคม 2568)

   - เงินต้น: 6,448 ล้านบาท (ไม่มีดอกเบี้ยในส่วนนี้)  

จากข้อมูลดังกล่าว แสดงให้เห็นว่ายอดหนี้ค้างชำระทั้งหมดมีมูลค่าสูงถึงกว่า 44,192 ล้านบาท (รวมดอกเบี้ย) และหากรวมประมาณการในปี 2568 จะเพิ่มเป็น 50,640 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาระทางการเงินที่หนักหน่วงสำหรับ กทม.

หนี้สายสีเขียวทะลุ 5 หมื่นล้าน ปธ.กก.วิสามัญแนะกทม.เร่งหาทางออก

ปัญหาการฟ้องร้อง

ปัญหาการฟ้องร้องระหว่าง BTSC กับ กทม. และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด เป็นหนึ่งในประเด็นหลักที่นายนภาพลได้หยิบยกขึ้นมา โดย BTSC ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางถึง 2 ครั้ง 

1. การฟ้องครั้งที่ 1 (วันที่ 15 กรกฎาคม 2564)
  
   - ครอบคลุมค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายที่ 1 (พฤษภาคม 2562 - พฤษภาคม 2564) และส่วนต่อขยายที่ 2 (เมษายน 2560 - 2564)  

   - กทม. ชี้แจงว่า การไม่ชำระหนี้เป็นผลจากการเจรจาตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 3/2562 ลงวันที่ 11 เมษายน 2562 ซึ่งกำหนดให้ผู้รับสัมปทานรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนต่อขยายทั้งสองส่วน  

   - นอกจากนี้ กทม. โต้แย้งว่า สถานีสะพานตากสิน (S6) มีข้อจำกัดทางกายภาพ เนื่องจากเป็นรางเดี่ยว ทำให้การบริหารจัดการในชั่วโมงเร่งด่วนลดประสิทธิภาพ และได้เจรจากับ BTSC เพื่อปรับลดค่าจ้างเดินรถในส่วนต่อขยายที่ 1 จากเดิม 2,731,199,852.94 บาท เหลือ 2,348,659,232.93 บาท (ลดลง 382,540,650.01 บาท)  

   - ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2565 ให้ กทม. และกรุงเทพธนาคมชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยภายใน 180 วัน กทม. ได้ยื่นอุทธรณ์ในประเด็นดอกเบี้ย โดยระบุว่าไม่ควรรับผิดในส่วนนี้  

หนี้สายสีเขียวทะลุ 5 หมื่นล้าน ปธ.กก.วิสามัญแนะกทม.เร่งหาทางออก

2. การฟ้องครั้งที่ 2

   - ครอบคลุมหนี้ตั้งแต่พฤศจิกายน 2565 - ธันวาคม 2567 ซึ่งยังไม่มีการชำระ และเป็นส่วนที่ค้างอยู่นอกเหนือจากคำพิพากษาครั้งแรก  

นายนภาพลยังระบุว่า กทม. ได้ชี้แจงต่อศาลว่าไม่ใช่คู่สัญญาโดยตรงกับ BTSC จึงไม่ควรรับผิดตามสัญญา ขณะที่กรุงเทพธนาคมโต้แย้งว่า BTSC ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการเจรจาร่วมทุนตามคำสั่ง คสช. และยอดหนี้ที่เรียกร้องสูงเกินจริง อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองกลางไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567

โดยเห็นว่าข้อโต้แย้งของ กทม. และกรุงเทพธนาคมเป็นประเด็นที่ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาไปแล้ว

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่า กทมฯ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่า กทมฯ

ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้ชี้แจงในที่ประชุมว่า ปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างฝ่ายบริหารและสภากรุงเทพมหานคร เนื่องจากการชำระหนี้ทุกบาทต้องได้รับอนุมัติจากสภา ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการมาแล้ว 2 ครั้ง การตั้งคณะกรรมการวิสามัญของนายนภาพลจึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการหาข้อสรุปที่ชัดเจนก่อนเสนอญัตติเข้าสภา

สำหรับการก่อหนี้ผูกพันในอนาคต เช่น สัญญาจ้างเดินรถหลังจากนี้ นายชัชชาติระบุว่า ต้องให้สภาพิจารณาก่อน เพราะหากผู้ว่าฯ ไปก่อหนี้ผูกพันมูลค่าหลายแสนล้านโดยไม่ได้รับความเห็นชอบ จะกลายเป็นปัญหาทางกฎหมาย

ผู้ว่าชัชชาติยังชี้ว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวมีความซับซ้อน เนื่องจากอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (พ.ร.บ. ร่วมทุน) โดยตามหลักการ เมื่อสัมปทานสิ้นสุดในปี 2572 รถไฟฟ้าทั้งหมดจะกลับมาเป็นของ กทม. และรายได้จะตกเป็นของ กทม. แต่ปัจจุบันมีการจ้าง BTSC เดินรถล่วงหน้าไปถึงปี 2585 ซึ่งเกินกว่ากรอบสัมปทานเดิม ทำให้ต้องพิจารณาตาม พ.ร.บ. ร่วมทุนต่อไป

นายชัชชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า ฝ่ายบริหารได้ตัดสินใจจ้างที่ปรึกษาเพื่อพิจารณาด้านกฎหมายและเงื่อนไขของ พ.ร.บ. ร่วมทุน เพื่อหาทางออกที่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีที่เหลือก่อนสัมปทานจะสิ้นสุด
 

การชำระหนี้ BTS ของกรุงเทพมหานครในอดีต

ปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียวเป็นประเด็นคาราคาซังมานานหลายปี โดยเฉพาะเรื่องหนี้สินที่กรุงเทพมหานครค้างชำระกับ BTSC ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งส่วนหลักและส่วนต่อขยาย ก่อนหน้านี้ กทม. ได้ดำเนินการชำระหนี้บางส่วนไปแล้ว 

โดยในวันที่ 4 เมษายน 2567 นายชัชชาติได้เปิดเผยว่า กทม. ได้ชำระหนี้ให้ BTSC ไปแล้ว 23,488 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ค่าจ้างเดินรถและระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ตามมติของสภากรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 การชำระหนี้ครั้งนี้มาจากเงินสะสมจ่ายขาดของ กทม. และเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่สั่งให้ กทม. และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) ชำระหนี้ภายใน 180 วัน

ต่อมาในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 สภากรุงเทพมหานครได้อนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2568 จำนวน 14,549,503,800 บาท เพื่อชำระหนี้เพิ่มเติมให้ BTSC ซึ่งครอบคลุมค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด การชำระหนี้เหล่านี้สะท้อนถึงความพยายามของ กทม. ในการแก้ไขปัญหาหนี้สินที่ค้างมานาน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนที่ร่วมลงทุนกับ กทม.

Thailand Web Stat