รัฐบาลเบรก “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ" หลังเจอแรงต้าน-ปัจจัยเสี่ยงนอก
ความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) หลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ!
รัฐบาลชะลอพิจารณา "เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์" ท่ามกลางเสียงคัดค้านและความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ "เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์" ได้กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อร้อนแรงที่สุดบนเวทีการเมืองและสังคมไทย ความเคลื่อนไหวล่าสุดคือการตัดสินใจของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เลือกจะชะลอการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ออกไปก่อน ท่ามกลางแรงเสียดทานจากหลายภาคส่วน และสถานการณ์ภายนอกประเทศที่มีผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของเศรษฐกิจไทย
แรงต้านจากสังคม เสียงสะท้อนที่รัฐบาลต้องรับฟัง
หนึ่งในปัจจัยหลักที่นำไปสู่การเลื่อนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้คือเสียงคัดค้านที่หลั่งไหลมาจากหลากหลายกลุ่มในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่แสดงจุดยืนชัดเจนว่า ร่างกฎหมายนี้อาจขัดกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลไม่อาจเพิกเฉยได้ เพราะหากดำเนินการต่อโดยไม่เคลียร์ประเด็นทางกฎหมายให้ชัดเจน อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในอนาคต และทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลเอง
นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเรื่องธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการดำเนินโครงการ หากสถานบันเทิงครบวงจรถูกผลักดันให้เกิดขึ้นจริง กลไกในการกำกับดูแล การตรวจสอบ และการป้องกันการทุจริตยังคงเป็นคำถามใหญ่ที่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับสังคมไทย
ปัจจัยภายนอก เศรษฐกิจโลกกดดันวาระในประเทศ
นอกจากแรงต้านภายในประเทศแล้ว ปัจจัยภายนอกก็มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจครั้งนี้ หนึ่งในนั้นคือสถานการณ์ภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหวในภูมิภาค ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของภูมิภาคเอเชียโดยรวม รวมถึงนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจ เช่น มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและตลาดการค้าโลก จนรัฐบาลไทยต้องหันมาให้ความสำคัญกับวิกฤตเร่งด่วนที่เกิดขึ้นเหล่านี้ก่อน
ฝ่ายสนับสนุนชู “เศรษฐกิจ” เป็นหมัดเด็ด
ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มผู้สนับสนุนการจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจรนำโดยนักวิชาการชื่อดัง ดร. ณรงค์ชัย ใหญ่สว่าง ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า โครงการนี้มีศักยภาพในการเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจระดับมหภาคของไทย โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังต้องการแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน
ดร.ณรงค์ชัยมองว่า หากมีการวางแผนและกำกับดูแลที่ดี โครงการนี้สามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ สร้างงาน เพิ่มรายได้ และอาจทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เขาชี้ให้เห็นถึงตัวอย่างความสำเร็จของประเทศอื่น ๆ เช่น สิงคโปร์ และมาเก๊า ที่สามารถควบคุมธุรกิจคาสิโนให้เป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจได้
ดร. ณรงค์ชัย ระบุชัดเจนว่า ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ หากผลักดันได้สำเร็จ จะเป็น “เครื่องจักรใหม่ทางเศรษฐกิจ” ที่สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทยต้องการแหล่งรายได้ใหม่เพื่อทดแทนภาคการส่งออกที่ชะลอตัว
“ประเทศไทยมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวอยู่แล้ว หากเพิ่มสถานบันเทิงครบวงจรเข้าไป ก็จะยิ่งดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มากขึ้นอย่างมหาศาล”
— ดร. ณรงค์ชัย ใหญ่สว่าง
เสียงคัดค้านหนักแน่น กังวล “อาชญากรรม-ฟอกเงิน”
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายคัดค้านก็มีจุดยืนชัดเจนไม่แพ้กัน พลโท พงศธร พัฒนถาบุตร เป็นหนึ่งในบุคคลที่ออกมาแสดงความห่วงใยอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะในประเด็นอาชญากรรมข้ามชาติ และการฟอกเงิน ซึ่งเป็นภัยเงียบที่มักแฝงตัวมากับธุรกิจประเภทนี้
พลโทพงศธรตั้งคำถามถึงขีดความสามารถของหน่วยงานรัฐไทยในการควบคุมดูแลสถานบันเทิงขนาดใหญ่ โดยชี้ให้เห็นว่าหากไม่มีระบบกำกับที่เข้มแข็งเพียงพอ ไทยอาจตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะกลายเป็นแหล่งฟอกเงินและฐานอาชญากรรมระดับภูมิภาค
มิติการเมือง เสถียรภาพของรัฐบาลอยู่เหนือทุกอย่าง
อีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่อาจมองข้ามคือเรื่องของ “เกมการเมือง” ที่ดำเนินอยู่เบื้องหลังประเด็นทางนโยบาย การผลักดันโครงการขนาดใหญ่ที่มีความอ่อนไหวเช่นนี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือและความเป็นเอกภาพจากพรรคร่วมรัฐบาล มีการวิเคราะห์ถึง "อำนาจต่อรองของพรรคร่วมรัฐบาล" ซึ่งในขณะนี้มีรายงานว่ามีความเห็นไม่ตรงกันในประเด็นนี้
เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมือง และไม่ให้ความขัดแย้งภายในพรรคร่วมลุกลามไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่กว่ารัฐบาลจึงเลือกที่จะเลื่อนการพิจารณาไว้ก่อน เพื่อรอเวลาและหาจังหวะที่เหมาะสมมากกว่า
คำถามใหญ่ ประเทศไทยพร้อมหรือยัง?
แม้แนวคิดสถานบันเทิงครบวงจรจะมีศักยภาพในด้านเศรษฐกิจ แต่ก็มีคำถามสำคัญที่สังคมยังรอคำตอบอยู่ นั่นคือ “ประเทศไทยพร้อมแล้วหรือยัง?” ในการรับมือกับผลกระทบด้านลบที่อาจตามมา
กลไกในการป้องกันการฟอกเงิน การควบคุมอาชญากรรม การดูแลสุขภาวะสังคม และการคุ้มครองเยาวชน ยังต้องได้รับการพัฒนาอีกมากก่อนที่จะสามารถเปิดทางให้ธุรกิจเช่นนี้เติบโตได้อย่างยั่งยืนและปลอดภัย
อนาคตของกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร "ยังไม่จบ"
แม้การพิจารณาจะถูกชะลอในครั้งนี้ แต่เสียงของทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้านก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า นโยบายนี้ยังไม่สิ้นสุด เพียงแค่พักการเดินหน้าไว้ชั่วคราวเท่านั้น
การตัดสินใจในครั้งต่อไปจะขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์รอบด้าน ความพร้อมของประเทศ และการเปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่า หากวันหนึ่งนโยบายนี้จะเดินหน้าต่อไป มันจะต้องเป็นไปบนพื้นฐานของความรอบคอบ ความโปร่งใส และผลประโยชน์ที่แท้จริงต่อประเทศชาติในระยะยาว