posttoday

ย้อนไทม์ไลน์ 48 ปี เส้นทางหญิงเหล็กในทำเนียบ สู่ยุคครม.นารีผงาด!

05 กันยายน 2567

โพสต์ทูเดย์พาย้อนไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์การเมืองไทยกว่า 48 ปี ใครคือผู้หญิงคนแรกที่ได้เข้าร่วมครม. ใครดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด รู้หรือไม่แนวคิดท่าเรือแหลมฉบังมาจากผู้หญิง มาจนถึงวันเปิดรายชื่อ ‘8 หญิงเหล็ก’ ครม.นายกอิ๊งค์ ยุคของนารีผงาด!

This is a man world!  ประโยคนี้ยังใช้ได้ดี โดยเฉพาะในแวดวงการเมือง เพราะดูเหมือนสถิติในปี 2022 มีรัฐมนตรีหญิงทั่วโลกรวมประมาณ ร้อยละ 21.9 ของรัฐมนตรีทั้งหมด ซึ่งเท่ากับจำนวนประมาณ 1,038 คน จากทั้งหมด 4,739 คน ในรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ประเทศไทยก็เช่นกัน คนไทยเพิ่งมีรัฐมนตรีหญิงอยู่ในคณะรัฐบาลไม่นานนี้ ย้อนไปได้แค่ 48 ปีเท่านั้น และจำนวนแต่ละครั้งก็ไม่เคยเกิน 4 คน!

แต่เมื่อวาน ปรากฎการณ์ ครม.นายกอิ๊งค์แต่งตั้งผู้หญิงถึง 8 คนขึ้นมาดำรงตำแหน่งสำคัญๆ น่าสนใจไม่น้อย เพราะนี่จัดว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่มีจำนวนผู้หญิงที่ถูกแต่งตั้งดำรงตำแหน่งรมว.ในกระทรวงต่างๆ มากที่สุด! และนับเป็นเกือบร้อยละ 25 ของครม.ชุดปัจจุบัน

ยิ่งไปกว่านั้นการดำรงตำแหน่งของ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ในฐานะนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ของไทย ยังจัดได้ว่าเป็นการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยที่สุดของโลกในช่วงเวลาปัจจุบัน และหากไล่ตามไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์แล้ว ‘นายกอิ๊งค์’ ก็น่าจะไม่หลุด Top 10 นายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์แน่นอน เพราะคนที่คว้าตำแหน่งอันดับ 1 ณ ขณะนี้คือนายกรัฐมนตรีซานนา มาริน (Sanna Marin) ประเทศฟินแลนด์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเมื่ออายุ 34 ปี ซึ่งต่างจากนายกอิ๊งค์เพียง 3 ปีเท่านั้น!

 

นายกอิ๊งค์ นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ของไทย

 

เส้นทางการเมืองของผู้หญิงไทย ดูจะเฉิดฉายขึ้นมาอีกครั้งในยุคนี้ ... เพราะในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา 'บทบาทของผู้หญิงบนเวทีการเมือง' น้อยครั้งที่จะฉายแสงได้ ส่วนใหญ่ก็จะดำรงตำแหน่งที่สำนักนายกฯ หรือไม่ก็กระทรวงวัฒนธรรม เพราะคงเห็นว่าเป็นเรื่องของ ผู้หญิง ผู้หญิง! 

แต่ก็ใช่ว่าไม่มี! โพสต์ทูเดย์ จึงขอพาทุกคนทำความรู้จัก 'ผู้หญิง' ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีตั้งแต่ครั้งอดีตที่น่าสนใจ หรือเคยมีบทบาทอยู่ไม่น้อย

 

  • ผู้หญิงสองคนแรกที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของไทย

ย้อนไป 48 ปี ผู้หญิงสองคนแรกที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของไทยเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2519 ในยุคของ ธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรีคนที่ 14 ของไทยโดยได้แต่งตั้งให้ วิมลศิริ ชำนาญเวช ขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ และ ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ไทยที่มีผู้หญิงขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและทีเดียว 2 คน จากจำนวนรัฐมนตรีทั้งหมด 18 คน!

 

วิมลศิริ ชำนาญเวช รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ หรือ หากเทียบกับปัจจุบันก็คงเป็นกระทรวงอว. สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และระดับปริญญาโทจากสหรัฐอเมริกา เคยรับราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมและเป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ นอกจากจะเคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้านการศึกษา และตำแหน่งทางการศึกษาสำคัญๆ ยังได้เขียนหนังสือและงานวิจัยหลายฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องกฎหมาย หนึ่งในนั้นที่น่าสนใจและดูจะเข้ายุคเข้าสมัย แม้ว่าท่านจะเขียนขึ้นมานานแล้ว คือ บทความเกี่ยวกับสิทธิในการสมรสของคนรักเพศเดียวกัน ในปี พ.ศ.2555 ( 12 ปีก่อนกฎหมายสมรสเท่าเทียม ) โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า

 

โดยบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศนี้ก็เป็นมนุษย์เหมือนบุคคลทั่วๆไปจะแตกต่างกันเพียงแค่จิตใจและความชอบทางเพศเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหมือนๆ กับชายหญิงทั่วไป แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ การยอมรับในด้านสิทธิต่าง ๆ และความเสมอภาคทางกฎหมายกลับไม่ได้รับการคุ้มครอง

ซึ่งหากพิจารณาจากปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ.1948 ซึ่งเป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่มีเจตนารมณ์ให้การคุ้มครองความเป็นมนุษย์อย่างเสมอภาคกันโดยไม่คํานึงถึงความแตกต่างด้านเชื้อชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ สีผิว ภาษา เพศ อายุ ความพิการ ถิ่นกําเนิด โดยมุ่งคุ้มครองสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนที่เกิดมาบนโลกใบนี้ภายใต้หลักการที่มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เพื่อให้เป็นกฎหมายสำหรับประเทศต่างๆ ที่เป็นภาคี สมาชิกสหประชาชาติจะได้นําไปใช้ปฏิบัติตาม”

 

อีกท่านคือ ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นบุตรีของพระยาภักดีนรเศรษฐ (เลิศ เศรษฐบุตร) ผู้สร้างโรงเรียนเศรษฐบุตรบำเพ็ญ และโรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ ผู้ริเริ่มรถโดยสารประจำทางขึ้นในเมืองไทย (รถเมล์นายเลิศ) และผู้สร้างโรงแรมปาร์คนายเลิศ  ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ต้องสืบทอดกิจการอย่างเต็มตัวเมื่ออายุได้ 26 ปี หลังจากที่พระยาภักดีนรเศรษฐถึงแก่อนิจกรรม ซึ่งท่านผู้หญิงเลอศักดิ์สามารถได้บริหารกิจการ 'รถเมล์ขาว' จนเติบโตขึ้นเป็นลำดับ ทั้งจำนวนรถและเส้นทางการเดินรถ โดยมีพนักงานอยู่กว่า 4,000 คน ณ ขณะนั้น 

และในสมัย 14 ตุลาคม 2516 รถเมล์ขาว ก็เคยวิ่งรับผู้ชุมนุมจากใจกลางเมืองนำมาปล่อยไว้ในแถบชานเมือง และผู้ชุมนุมหลายคนรอดจากการจับกุมตัว จนเป็นเหตุให้ท่านถูกต่อว่าจากผู้ใหญ่ว่าเล่นการเมือง แต่ท่านผู้หญิงเพียงตอบว่าเป็นการช่วยเหลือด้วยมนุษยธรรม

ในปีพ.ศ.2518 ก่อนเข้ารับตำแหน่ง 1 ปี กิจการรถเมล์ขาวก็โดนพิษการเมืองเล่นงานเพราะถูกรัฐบาลยกเลิกสัมปทานการเดินรถเมล์ไปในที่สุด

 

ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัตรศิริ

 

  • ท่าเรือแหลมฉบับ แนวคิดจากรัฐมนตรีคมนาคมหญิงคนแรกของไทย

การเข้ารับตำแหน่งของท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ เป็นเรื่องที่โจษจันในสมัยนั้น จนปรากฎอยู่ในหนังสือหลายฉบับ หนึ่งในนั้นคือ ‘บันทึกวิเคราะห์และวิจารณ์ 16 นายกรัฐมนตรีไทย’ ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2526 ความตอนหนึ่งว่า

 

“คณะรัฐมนตรีชุดคุณธานินทร์นั้น เมื่อปัญญาชนมองดูแล้วก็คิดว่าคงไปได้ไม่ไกลนัก เพราะคุณธานินทร์เลือกมาจากวงการแคบๆ … และเป็นคนที่คุณธานินทร์ได้ใช้วิชาโหราศาสตร์ทำนายไว้แล้วว่าจะได้เป็นรัฐมนตรี เช่น คุณหญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ

 

นอกจากนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็เคยให้สัมภาษณ์ลงในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 26 ตุลาคม 2519 ว่า “อันนี้ยินดีอนุโมธนาสาธุเลย เห็นว่าควรจะมีมานานแล้ว รัฐมนตรีหญิงเมืองไทยนี้ และสำหรับรัฐมนตรีหญิงสองท่านเท่าที่ผมทราบ ท่านก็เป็นผู้มีความสามารถ” นอกจากนี้ยังมีอาจารย์เต็มศิริ บุณยสิงห์เคยให้สัมภาษณ์ว่าวงการสตรีภูมิใจมาก และคุณหญิงเลอศักดิ์นั้น ก็เป็นที่ทราบว่าท่านมีความรู้เรื่องการคมนาคมเป็นอย่างดี

 

และก็เป็นแนวคิดของ ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ นี่เองที่เริ่มต้นแนวคิด สร้างท่าเรือที่แหลมฉบัง โดยตอนนั้นท่าเรืออยู่ที่สัตหีบ ท่านผู้หญิงเห็นว่าท่าเรืออยู่ในที่ทหารขยายลำบาก จึงคิดควรหาที่ตั้งท่าเรือใหม่ และมาจบที่แหลมฉบัง แม้จะไม่ได้สำเร็จในยุคสมัยของท่าน แต่แนวคิดมาจากยุคสมัยของรัฐมนตรีหญิงคนนี้! (ข้อมูลจาก ห้องสมุดรัฐสภารวมไปถึงการเตรียมการก่อสร้างทางด่วนสายแรกของไทยอย่าง ดินแดง-บางนา ก็เริ่มขึ้นในปี 2519 นี้เช่นกันหลังจากศึกษามากว่า 4 ปีเต็ม และได้เปิดบริการในเดือนตุลาคม 2524  ( ข้อมูลจาก วารสารสจ.ธ.ปีที่ 13 ฉบับที่ 2 ปี 2533 )

 

ข่าวหน้าหนึ่งจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ในสมัยนั้น

 

  • ผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรียาวนานที่สุด และรัฐมนตรีหญิงคนแรกที่มาจากการเลือกตั้ง

สำหรับผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรียาวนานที่สุด 2 อันดับแรก คือ อุไรวรรณ เทียนทอง ซึ่งถือได้ว่าได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรียาวนานที่สุดคนหนึ่งของไทย โดยท่านดำรงตำหน่งที่รมว.ที่กระทรวงวัฒนธรรมรวม 2 ปี และกระทรวงแรงงานอีก 4 ปีด้วยกัน ใน 3 รัฐบาล คือ รัฐบาลของทักษิณ ชินวัตร, สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์

โดยนางอุไรวรรณเทียนทอง คือภริยาของนายเสนาะ เทียนทอง อดีตหัวหน้าพรรคประชาราช และสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ปัจจุบันลูกชายคือ นายสรวงศ์ เทียนทอง ได้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของนายกอิ๊งค์!

 

อีกท่านคือคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายรัฐมนตรียาวนานถึง 8 ปี ใน 3 รัฐบาล ได้แก่ รัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน และชวน หลีกภัย โดยสำเร็จการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ และได้ชื่อว่าเป็นรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยที่มาจากการเลือกตั้งในสมัยของชวน หลีกภัย โดยท่านเป็นสส.จังหวัดนครศรีธรรมราช มายาวนานกว่า 7 สมัย

โดยท่านเป็นผู้เสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ และอนุมัติให้วันที่ 14 เมษายน ของทุกปี เป็น “วันครอบครัว” ซึ่งตรงกับเทศกาลสงกรานต์ของไทย ในสมัยรัฐบาล พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ 

 

คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์

 

  • ผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งกระทรวงมหาดไทย คนแรกของประวัติศาสตร์

หากพูดถึงกระทรวงที่ให้ภาพลักษณ์เป็นชาย ก็คงหนีไม่พ้นกระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม ซึ่งจนถึงปัจจุบันกระทรวงยุติธรรม เป็นหนึ่งในสองกระทรวงที่ยังไม่มีผู้หญิงคนใดขึ้นดำรงตำแหน่งรมว.เลย เช่นเดียวกับกระทรวงการต่างประเทศ

 

หากแต่สำหรับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งในวันนี้ ครม.ใหม่ของนายกอิ๊งค์ มีรมช.ถึง 2 คนขึ้นดำรงตำแหน่งได้แก่ ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ และธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ แต่แท้จริงแล้วก่อนหน้านี้เคยมีผู้หญิงอีกหนึ่งท่านเคยดำรงตำแหน่งนี้มาก่อนนั่นคือ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เคยดำรงตำแหน่งในยุคของบรรหาร ศิลปอาชา นอกจากนี้ยังดำรงตำแหน่งอีกหลายกระทรวง ถือว่าเป็นผู้หญิงที่เข้ารับตำแหน่งในกระทรวงที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคม

โดยผลงานที่สำคัญอาทิ การวางแผนปรับเปลี่ยนสถานีขนส่งหมอชิตให้เป็นสถานีรถไฟฟ้า และดำรงตำแหน่งในฐานะ รมว.กระทรวงสาธารณสุขในช่วงที่เกิดไข้หวัดนก และเหตุการณ์สึนามิ รวมไปถึงผลักดันเรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรค ตลอดจนการทำหน้าที่ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งให้กับพรรคเพื่อไทย จนชนะการเลือกตั้งท่วมท้นในปี 2548

 

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

 

  • ผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกและคนที่สองของไทย

ท้ายสุดที่ไม่พลาดจะพูดถึงคือตำแหน่งสูงสุดทางการเมือง คือตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีผู้หญิงไทยได้ก้าวขึ้นไปสู่อำนาจจากตระกูลเดียวกันคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ แพทองธาร ชินวัตร โดยตัวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเองดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของไทย และเข้าดำรงตำแหน่งเกือบ 3 ปี นักวิจารณ์ต่างชี้ว่าเหตุผลหลักที่ได้ตำแหน่งเพราะเป็นน้องสาวของทักษิณ ชินวัตร โดยมีบทบาททำหน้าที่เป็นผู้แทนของพี่ชายเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามในยุคของยิ่งลักษณ์ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญต่างๆ มากมาย เช่น การผลักดันเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ คือ ร่างกฎหมาย พ.ร.บ.คู่ชีวิต ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนทางกฎหมายอย่างจริงจังครั้งแรกในไทย รวมไปถึงการจำนำข้าวซึ่งนำไปสู่คดีความต่างๆ ในเวลาต่อมา อดีตนายรัฐมนตรียิ่งลักษณ์พ้นจากตำแหน่งด้วยการยุบสภา และมีเรื่องคดีต่างๆ อีกหลายโครงการ จนต้องออกนอกประเทศและถูกห้ามเกี่ยวข้องกับการเมืองตลอดชีวิต

 

อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของไทย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

 

และในปีนี้เอง แพทองธาร ชินวัตร ก็ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายรัฐมนตรีคนที่ 31 ของไทย ท่ามกลางการจับตามองทั้งในเรื่องของนโยบายการเมืองว่าจะเป็นเพียง 'คนที่ทำตามพ่อ' หรือไม่ รวมถึงการบริหารงานที่ต้องเสี่ยงกับ 'นักร้อง' และการดำเนินคดีต่างๆ มากมาย ที่อีกฝั่งหนึ่งจ้องจะเล่นงานอยู่ และอาจทำให้ 'แพทองธาร ชินวัตร' ซ้ำรอยเดิมกับยิ่งลักษณ์หรือผู้เป็นพ่อจนทำให้รัฐบาลไปได้ไม่ไกลนัก

ซึ่งนั่นทำให้การจัดตั้งครม.ชุดนี้มีความละเอียดยิบ ตรวจสอบกันยับกว่าเดิม จนล่าสุด ครม. ก็ออกมาเสร็จสรรพ พร้อมกับการแต่งตั้งผู้หญิงอีก 7 คนเข้าดำรงตำแหน่ง ถือเป็น ครม.ที่มีผู้หญิงมากที่สุดเท่าที่เคยมี ได้แก่

  1. สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.วัฒนธรรม
  2. มนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม
  3. ศุภมาส อิสรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
  4. จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายรัฐมนตรี
  5. ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย
  6. ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย
  7. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์

แม้ว่าผู้หญิงจะยังได้เข้าไปอยู่ในกระทรวงที่เป็นเรื่อง ผู้หญิง ผู้หญิง อย่างกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการอุดมศึกษาฯ เช่นเดิม แต่ในยุคของนายกอิ๊งค์ ก็น่าจับตามองไม่น้อย เพราะนโยบายเรือธงที่สำคัญ อย่าง 'ซอฟต์พาวเวอร์' ก็ขึ้นตรงกับกระทรวงวัฒนธรรม หรือ ในเรื่องของงานวิจัยและการศึกษาที่จะผลักดัน Upskill และ Re-skill ให้แก่กระทรวงอื่นๆ หรือการสร้าง New business ให้แก่ประเทศ ก็ต้องอาศัย 'การศึกษา' ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกระทรวงอว. 

 

นี่เป็นเพียงเวลาแค่ไม่กี่วันของการดำรงตำแหน่งของ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ และจะเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐมนตรีหญิงทั้ง 7 คน จึงต้องจับตามองว่าหญิงเหล็กแห่งทำเนียบเหล่านี้จะสามารถสร้างประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่แต่เพียงเรื่องอายุ หรือเพศ แต่คือฝีมือทางการเมืองและการบริหารบ้านเมืองให้ครองใจประชาชนไว้มากน้อยเพียงใด

โดยเฉพาะนายกอิ๊งค์ ภายใต้บริบทของการถูกจับตามองว่า จะดำรงตำแหน่งภายใต้บารมีของ ‘พ่อ’ หรือไม่ ซึ่งหากเป็นแบบนั้นก็คงน่าเสียดาย เพราะการดำรงตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองของผู้หญิง เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งของประเทศไทย ประเทศที่อยู่บนพื้นฐานปิตาธิไตยมานับหลายร้อยปี เพราะแม้จำนวนประชากรผู้หญิงในไทยมีสัดส่วนที่มากกว่าประชากรไทย แต่กลับมีตัวแทนของ 'ผู้หญิง' บนเส้นทางการเมืองน้อยกว่าหลายเท่าเสมอและตลอดมา.