posttoday

‘การตั้งถิ่นฐาน’ ปัจจัยทำไทยเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงอากาศอันดับ 9 ของโลก

03 ตุลาคม 2567

โพสต์ทูเดย์พาย้อนดู ‘แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ’ ซึ่งเคยประเมินไว้ราว 6 ปีก่อนในเรื่อง ‘การตั้งถิ่นฐานประชากร’ ซึ่งจะสร้างความเสียหายในระดับสูงหากเกิดภัยพิบัติโดยเฉพาะน้ำท่วม โดยมี ‘จ.เชียงราย’ อยู่ในแผน!

จากกรณีอุทกภัย-ดินถล่ม ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินในปีนี้ เกิดการตั้งคำถามจากหลายฝ่ายว่าจะมีวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างไร ซึ่งมีการพูดถึงทั้งระบบเตือนภัย ฝนที่ตกลงมาเป็นลักษณะของการตกแช่ที่ใดที่หนึ่งเป็นระยะเวลานาน พื้นที่ป่าไม้ที่ลดน้อยลง รวมไปถึงการขยายของเมืองและการตั้งถิ่นฐานของประชากร ที่ในวันนี้อาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ  ที่ยังคงไม่มีวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างชัดเจน

ปัญหาในเรื่อง ‘การตั้งถิ่นฐานประชากร’ ไม่ใช่ปัญหาที่ไม่ถูกพูดถึง แต่เคยถูกพูดถึงและเป็นประเด็นใหญ่มาก ในปี 2561 เมื่อประเด็นดังกล่าวกลายเป็น 1 ในไม่กี่หัวข้อสำคัญที่ทำให้ไทยกลายเป็น ประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในโลกในลำดับที่ 9 เพราะผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว

 

สิ่งที่รัฐบาลและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทำในปีนั้นคือการคลอด ‘แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ’ ซึ่งได้กล่าวถึงประเด็นการตั้งถิ่นฐานไว้อย่างน่าสนใจ

 

‘การตั้งถิ่นฐาน’ ปัจจัยทำไทยเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงอากาศอันดับ 9 ของโลก

  • ถึงเวลาต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศในถิ่นฐานของตน

แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ระบุว่าในอดีตผู้คนนำปัจจัยทางภูมิอากาศและปัจจัยทางธรรมชาติเป็นแนวคิดการตั้งถิ่นฐานของชุมชน และคนในชุมชนจะมีการเรียนรู้ที่จะจัดการหรือปรับตัวกับสภาพอากาศที่แตกต่างกันไป แต่เมื่อระบบเศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลง เกิดการพัฒนาทั้งทางด้านเทคโนโลยีและปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ จึงทำให้การตั้งถิ่นฐานในอดีตที่ต้องคำนึงถึงสภาพภูมิอากาศถูกลดความสำคัญลง

มนุษย์ใช้แนวทางวิศวกรรมเข้ามาช่วยสร้างชุมชนให้สามารถจัดการกับความเสี่ยงเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทางภูมิอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบันกลายเป็นความท้าทายใหม่ที่น่าจับตามอง

ประเทศไทยก็เช่นเดียวกันแต่เดิมชอบตั้งถิ่นฐานตามแถบลุ่มน้ำเพื่อทำการเกษตร แต่เมื่อเกิดการพัฒนาเป็นสังคมเมือง เมืองก็ขยายใหญ่ขึ้น มีความหนาแน่นสูง และมีการกระจุกตัวทางเศรษฐกิจ  อย่างเช่น ในจังหวัดเชียงราย อ.แม่สาย พื้นที่ชายแดนแม่สายนั้นเป็นพื้นที่เศรษฐกิจชายแดนที่สำคัญมาอย่างยาวนาน จนเกิดการรุกล้ำแม่น้ำสายจากเดิมที่เคยมีความกว้างกว่า 100 เมตร บางจุดเหลือเพียง 20 เมตรเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่าระยะทางของแม่น้ำซึ่งควรจะปล่อยให้น้ำหลายผ่านหายไปราว 5 เท่า!

 

แม่น้ำสาย

 

เมื่อประกอบกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงในปัจจุบัน จึงได้เห็นปรากฎการณ์และความเสียหาย เช่น

2549 พายุเฮอริเคนรัฐหลุยส์เซียนา สหรัฐอเมริกา เกิดน้ำท่วมใหญ่ สร้างความเสียหาย 200,000 หลัง

2550 พายุไต้ฝุ่นเลกีพัดถล่มเวียดนาม 70,000 ชีวิตไร้ที่อยู่อาศัย

2557 ฝนที่ตกหนักต่อเนื่องบนเกาะสุลาเวสี ทำให้ประชาชน 4,000 คนอพยพย้ายถิ่น

2554  ประเทศไทยน้ำท่วมหนักประชาชนกว่า 4,000,0000 คนได้รับผลกระทบ

2567  เชียงรายน้ำท่วมหนัก ประชาชนกว่า 51,353 ครัวเรือน ได้รับผลกระทบ

 

‘การตั้งถิ่นฐาน’ ปัจจัยทำไทยเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงอากาศอันดับ 9 ของโลก

 

  • ความเสี่ยงไหนเพิ่มขึ้นบ้างจากการตั้งถิ่นฐาน

รายงานฉบับที่ 5 ของ IPCC (คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ)  ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเกี่ยวกับความเสี่ยงของภูมิภาคเอเชีย เมื่อเจอกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไว้ 3 กลุ่มคือ

  1. ความเสี่ยงจากน้ำท่วม จากการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบฝน ฯลฯ
  2. ความเสี่ยงจากความร้อนที่เพิ่มขึ้น
  3. ความเสี่ยงประเภทน้ำแล้งและการขาดแคลนอาหาร อันเป็นผลจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น

ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย โดยเฉพาะในเรื่องปริมาณน้ำฝนจะมีแนวโน้มสูงขึ้น ฝนจะตกหนักขึ้นในวันที่เคยมีปริมาณฝนตกปานกลาง ฝนจากมรสุมอินเดียฤดูร้อนและเอเชียตะวันออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากความชื้นที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับฝนในช่วงมรสุมฤดูหนาวของซีกโลกเหนือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

แม้ว่าความถี่ของพายุหมุนเขตร้อนจะลดน้อยลง แต่ปรากฎว่าความรุนแรงจะเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อภาวะน้ำท่วม น้ำหลาก ดินถล่ม นำ้ทะเลหนุน การกัดเซาะชายฝั่ง การรุกล้ำของน้ำเค็ม  ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นความเสี่ยงต่อการตั้งถิ่นฐานของประเทศไทยแทบทั้งสิ้น

 

‘การตั้งถิ่นฐาน’ ปัจจัยทำไทยเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงอากาศอันดับ 9 ของโลก

 

  • เปิดพื้นที่เสี่ยงในประเทศไทยต่อการตั้งถิ่นฐาน

กรุงเทพมหานครและปริมณฑลถือว่าเป็นพื้นที่ศูนย์กลางการพัฒนาของประเทศที่มีการกระจุกตัวมากที่สุด ส่วนเมืองศูนย์กลางในลำดับรองลงมาซึ่งมีประชากรในจังหวัดในระดับประมาณ 1 ล้านคนขึ้นไป อาทิ นครราชสีมา อุบลราชธานี ขอนแก่น อุดรธานี เชียงใหม่ เชียงราย นครสวรรค์ ชลบุรี นครศรีธรรมราช สงขลา สุราษฎร์ธานี ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่ตั้งบ้านเรือนเกาะตัวตามลำน้ำสายสำคัญ และในพื้นที่ชายฝั่งทะเลของประเทศแทบทั้งสิ้น  และเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการประสบภัยพิบัติอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศค่อนข้างสูง ที่สำคัญคือพื้นที่เหล่านี้บางส่วนมีการท่วมอยู่แล้วซ้ำซาก แต่ความรุนแรงของการท่วมจะรุนแรงมากขึ้นด้วย!

 

  • เช็ค ผ่านมา 7 ปี แผนการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ วางกรอบปี 2561-2580 ที่ไทยต้องทำ!

ทั้งนี้ ในแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ได้มีการวางกรอบการดำเนินงานเอาไว้ตั้งแต่ปี 2561 แบ่งเป็นเป้าหมายระยะสั้น (2561-2564) เป้าหมายระยกลาง (2565-2567) เป้าหมายระยะยาว (2570-2580) โดยจะขอสรุปบางข้อที่น่าสนใจได้แก่

 

  1. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นและมีความหลากหลายในการรองรับภาวะฉุกเฉินจากภัยธรรมชาติ เช่น ตรวจสอบโครงสร้างที่กีดขวางทางไหลของน้ำ การพัฒนาระบบขนส่ง (เป้าหมายระยะสั้น-กลาง)
  2. พัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า และข้อมูลความเสี่ยงต่อภัยพิบัติในระดับชุมชน (เป้าหมายระยะสั้น-กลาง)
  3. ผลักดันให้มีการผนวกให้สิ่งปลูกสร้างต้องใช้เกณฑ์ออกแบบอาคารที่สอดคล้องกับสภาพอากาศ (เป้าหมายระยะสั้น-กลาง)
  4. การจัดทำผังเมืองต้องสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (เป้าหมายระยะสั้น-กลาง)
  5. พัฒนาและจัดทำแผนสำรองระบบที่มีความจำเป็นในภาวะวิกฤติ (เป้าหมายระยะสั้น-กลาง)
  6. เพิ่มขีดความสามารถของชุมชนให้มีความพร้อมเมื่อต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพ อากาศ (เป้าหมายระยะสั้น - ยาว)
  7. พัฒนาชุมชนให้เฝ้าระวัง แจ้งเตือนภัย เผชิญภัย ระงับภัย ช่วยเหลือคนในชุมชนได้ (เป้าหมายระยะสั้น - ยาว)

ฯลฯ

 

‘การตั้งถิ่นฐาน’ ปัจจัยทำไทยเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงอากาศอันดับ 9 ของโลก

 

ณ เวลานี้ ‘แม่สาย’ ในพื้นที่ตลาดสายลมจอย และพื้นที่อื่นๆ ที่เคยท่วมไปเมื่อต้นเดือนกันยายน ก็กลับมาท่วมซ้ำ ทั้งๆ ที่เจ้าของบ้านยังไม่สามารถเคลียร์โคลนเก่าออกจากบ้านได้  หากดูจาก แผนปรับตัวฯ ฉบับนี้ จึงทำให้เห็นว่ามันเป็นปัญหาที่ภาครัฐสามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้ามาก่อนหลายปี และมีแผนการดำเนินงานจากสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมออกมา ส่วนประสิทธิภาพของการปฏิบัติให้สอดคล้องกับเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้นั้นเพียงพอหรือไม่นั้น คิดว่าทุกคนคงตอบได้!