อิตาลีออกมาตรการเข้มงวด 'ห้ามอุ้มบุญ' คาดมุ่งเป้า LGBTQ+
วุฒิสภาของอิตาลีลงมติผ่านกฎหมาย 'ห้ามอุ้มบุญ' ในต่างประเทศ ซึ่งทำให้ชาวอิตาลีไม่ว่าจะเพศใดไม่สามารถใช้การ 'อุ้มบุญ' ได้ทั้งในและต่างประเทศ ในขณะที่บางกลุ่มมองว่ากฎหมายดังกล่าวกระทบกับกลุ่ม LGBTQ+ มากกว่า พร้อมส่องกฎหมายอุ้มบุญในไทยไปถึงไหนแล้ว?
เมื่อวานนี้ (16 ต.ค. 2567) ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศอิตาลี วุฒิสภาของอิตาลีลงมติผ่านกฎหมายที่ห้ามคู่รักเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำอุ้มบุญ ซึ่งเป็นการผลักดันกฎหมายในรัฐบาลของ 'จอร์เจีย เมโลนี' นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอิตาลี ซึ่งถูกมองว่าเป็นรัฐบาลที่ดำเนินนโยบายทางการเมืองในแนวอนุรักษ์นิยม เพราะมุ่งส่งเสริมค่านิยมของการมีครอบครัวในรูปแบบดั้งเดิม คือระหว่างชายและหญิง และดำเนินนโยบายที่มุ่งที่จะให้คู่รัก LGBTQ+ มีลูกหรือเป็นพ่อแม่ตามขนบของครอบครัวสมัยใหม่ ที่สนับสนุนความหลากหลายของการสร้างครอบครัวได้ยากมากขึ้น!
ระหว่างการอภิปรายต่อรัฐสภา นายกรัฐมนตรีหญิงของอิตาลีกล่าวว่า
"ความเป็นแม่เป็นสิ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ไม่สามารถแทนที่ได้ และเป็นรากฐานของอารยธรรม"
และ "เราต้องการถอนรากถอนโคนปรากฏการณ์การท่องเที่ยวเพื่อการอุ้มบุญ" โดยช่วงต้นปีที่ผ่านมาเมโลนีได้ประนามว่า 'การอุ้มบุญ' นั้น ไร้มนุษยธรรม เพราะปฏิบัติต่อเด็กเหมือนเป็นสิ่งของในซูปเปอร์มาร์เก็ต ที่สามารถเลือกซื้อได้
กฎหมายดังกล่าวได้มีการลงมติผ่านด้วยคะแนนเสียง 84 ต่อ 58 หลังจากที่ได้รับการอนุมัติจากสภาล่างตั้งแต่ปีก่อน โดยมีสาระสำคัญคือ ห้ามการอุ้มบุญในกรณีที่มีการเดินทางไปยังประเทศที่การอุ้มบุญถูกกฎหมาย เช่น สหรัฐอเมริกาหรือแคนาดา โดยที่กำหนดโทษจำคุกสูงสุด 2 ปี และปรับสูงสุดถึง 1 ล้านยูโร หรือราว 36 ล้านบาทเลยทีเดียว ส่วนการอุ้มบุญในประเทศอิตาลีนั้นกระทำไม่ได้อยู่แล้วโดยประกาศเป็นกฎหมายตั้งแต่ปี 2004
แน่นอนว่าความเคลื่อนไหวของรัฐบาลอิตาลีสร้างความไม่พอใจต่อนักเรียกร้องสิทธิ LGBTQ+ เป็นอย่างมาก โดยพวกเขามองว่า การกระทำของรัฐบาลนั้นไร้เหตุผล การมีลูกในสังคมที่เจอกับวิกฤตประชากรที่ลดลงควรจะได้รับการเชิดชูมากกว่า แต่กลายเป็นว่าจะถูกส่งเข้าคุก หากไม่มีลูกตามขนบธรรมเนียมดั้งเดิม! และประนามว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่โหดร้าย เพราะไม่มีประเทศไหนในโลกมีกฎหมายแบบนี้
นอกจากนี้กฎหมายดังกล่าวน่าจะมุ่งเป้าไปที่ LGBTQ+ มากกว่า เนื่องจากคู่รักชายหญิงในอิตาลี หากอยากที่จะทำอุ้มบุญ ร้อยละ 90 พวกเขาเลือกที่จะทำแบบลับๆ หรือผิดกฎหมาย แต่ถ้าเป็นคู่รัก LGBTQ+ ทำบ้าง ย่อมไม่สามารถปกปิดได้เหมือนกับคู่รักทั่วไป ที่อาจจะบอกว่ามีลูกได้ด้วยตัวเองแทนการบอกความจริง
- สวนทางกับความเคลื่อนไหว 'อุ้มบุญในประเทศไทย'
สำหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขกำลังผลักดัน 'กฎหมายอุ้มบุญ' ฉบับใหม่ คาดว่าจะเข้าสภาในกลางปีหน้า
หลังจากที่ประเทศไทยผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมและจะมีการใช้อย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 22 มกราคม 2568 ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวจากกระทรวงสาธารณสุข โดยจะมีการผลักดัน พ.ร.บ.อุ้มบุญ ฉบับใหม่ที่กำลังอยู่ในระหว่างการแก้ไขเพื่อเอื้อให้ทุกกลุ่มสามารถใช้วิธีการ 'อุ้มบุญ' โดยจะมีการเปลี่ยนจากที่ใช้คำว่า ชาย-หญิง เป็นคู่สมรส ซึ่งจะทำให้การอุ้มบุญไม่จำกัดเพศแค่ชาย-หญิง เท่านั้น รวมไปถึงให้อนุญาตชาวต่างชาติสามารถเข้ามาใช้บริการการอุ้มบุญในไทย โดยเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการมีบุตร และป้องกันการนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ได้ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและเสนอต่อสภาเพื่อพิจารณาได้ในกลางปีหน้านี้!
อย่างไรก็ตามสำหรับคู่รัก LGBTQ+ ที่สมรสแล้วและอยากมีบุตร สามารถใช้วิธีการขอรับบุตรบุญธรรมได้อีกวิธีหนึ่ง โดยรายละเอียดหลังจากมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมแล้วนั้นจะแตกต่างจากเดิมบางประการคือ แม้ว่ากฎหมายรับบุตรบุญธรรมจะไม่ได้กำหนดว่าผู้ที่ขอรับบุตรบุญธรรมจะเป็นเพศอะไร ขอให้เป็นพลเมืองและมีอายุห่างจากบุตรบุญธรรม 15 ปีเท่านั้น แต่เวลาที่จดทะเบียนบุตรบุญธรรม บุตรคนดังกล่าวจะกลายเป็นบุตรของคนที่จดเพียงคนเดียว ไม่สามารถรับอุปถัมภ์ร่วมกันได้ อย่างไรก็ตามเมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมบังคับใช้หมายความว่าคู่รัก LGBTQ+ จะสามารถมีสถานะเป็นผู้อุปถัมภ์ของบุตรคนดังกล่าวร่วมกัน และมีความเป็นครอบครัวมากกว่า