ผู้ช่วยแพทยสภาเตือน 'ฉีดสเต็มเซลล์' เกิดผลข้างเคียง! หลังพบโฆษณาเกินจริง
ผู้ช่วยแพทยสภาและแพทย์ดังช่อง Doctor Tany เตือนประชาชน พิจารณาการใช้บริการ 'ฉีดสเต็มเซลล์' ชี้เทคโนโลยีสเต็มเซลล์ยังมีข้อจำกัด ไม่ได้รักษาได้ทุกโรค และปัจจุบันพบคลินิกในไทยหลายแห่งที่ฉีดแบบไม่ถูกต้อง เสี่ยงให้เกิดอาการข้างเคียงกว่า 400 คดีต่อปี
เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา ในไลฟ์สดช่องของ ประกิต สิริวัฒนเกตุ ได้มีการเชิญนายแพทย์ภาสกร วันชัยจิระบุญ ผู้ช่วยแพทยสภา และ นายแพทย์ธนีย์ ธนียวัน แพทย์ดังเจ้าของช่อง Youtube Dr.Tany อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอด วิกฤตบำบัด และการปลูกถ่ายปอด ได้ออกมาให้ข้อมูลในประเด็นของสเต็มเซลล์ หรือการผู้ถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด
โดย นายแพทย์ ธนีย์ ธนียวัน ได้ให้ความรู้ในประเด็นดังกล่าวโดยสรุปว่า การใช้สเต็มเซลล์นั้นมีการรับรองแค่ใช้สเต็มเซลล์แค่บางจุดเท่านั้น การแอบอ้างว่าสามารถใช้ในส่วนอื่นๆ จะเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น การเกิดเนื้องอก หรือเป็นเซลล์ที่ไม่ต้องการอย่างพังผืดที่ใบหน้า เป็นต้น และยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าสเต็มเซลล์นี้จะมีประสิทธิภาพอย่างที่คิดหรือเปล่า
นอกจากนี้ ขั้นตอนการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ก็มีโอกาสที่จะเกิดการกลายพันธุ์ได้ เพราะฉะนั้นอาจทำให้เกิดเซลล์ที่เราไม่ต้องการ และทำหน้าที่ผิดปกติ หรือกลายเป็นเซลล์แก่ขึ้นมา เมื่อฉีดเข้าไปก็จะไม่เกิดผลอยู่ดี
" ในอเมริกาซึ่งได้ชื่อว่า มีชื่อเสียงในเรื่องสเต็มเซลล์ จะมีการฉีดสเต็มเซลล์ที่ใบหน้า หรือนักกีฬาที่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ซึ่งมีรายงานว่าได้ผลบ้าง แต่ผลไม่ได้ถาวร ต้องฉีดทุก 3-6 เดือน ค่าใช้จ่ายแพง และไม่มีการรับรองว่าเซลล์ที่ฉีดจะกลายเป็นอย่างไรเช่นกัน" นายแพทย์ธนีย์ระบุ
นอกจากนี้ ในประเทศไทยเคยมีรายงานเคสผู้ป่วยเป็นโรค SLE และอาการของโรคลามไปที่ไต ตัดสินใจไปรักษาด้วยการฉีดสเต็มเซลล์ ผลปรากฎว่าทำให้กลายเป็นเนื้องอกชนิดที่แปลกประหลาดขึ้นมา โดยเนื้องอกเกิดที่ต่อมหมวกไต และพบว่าเนื้องอกนั้นมีส่วนผสมของเส้นเลือดและต้นกำเนิดเม็ดเลือดอยู่ในนั้น ซึ่งไม่ควรที่จะเกิดขึ้นที่ไต
จึงมีการค้นคว้าและพบว่าที่รัสเซียมีการฉีดเช่นนี้เช่นกัน โดยไปฉีดเข้าที่ระบบประสาท เพื่อซ่อมระบบประสาทแต่สุดท้ายก็ทำให้ระบบประสาทเสียไป รวมไปถึงมีเคสผู้ป่วยฉีดสเต็มเซลล์ที่บริเวณจอประสาทตาซึ่งเมื่อฉีดไปทำให้ตาบอด ซึ่งมีข่าวแบบนี้ออกมาเรื่อยๆ
ที่สำคัญคือบริษัทสเต็มเซลล์มีโปรโตคอลของใครของมัน ไม่ได้มีมาตรฐานกระบวนการรักษาที่ชัดเจน
รายงานเคสในประเทศไทยที่ลงในวารสาร NATURE
ด้าน นายแพทย์ภาสกร วันชัยจิระบุญ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า แพทยสภาเห็นปัญหาของการฉีดสเต็มเซลล์มาตั้งแต่ปี 2552 และได้ออกกฎระเบียบข้อบังคับโดยสรุปว่า การฉีดสเต็มเซลล์ต้องมีการวิจัยเป็นมาตรฐานและแพทยสภาเห็นชอบ และอะไรที่อยู่ในงานวิจัยจะต้องผ่านกระบวนการการทำจริยธรรมนักวิจัย เพื่อดูว่าการวิจัยนั้นปลอดภัยกับคนไข้หรือเปล่า และคนที่จะทำการรักษาต้องมีวุฒิบัตรและขึ้นทะเบียนว่าเป็นผู้ที่สามารถปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดได้ ซึ่ง นพ.ภาสกรเปิดเผยว่าคนที่ได้ใบดังกล่าวในประเทศไทยมีจำนวนน้อยมากหลักสิบคน
โดยปัญหาของผู้ที่ถูกหลอกเรื่องสเต็มเซลล์มีมาอย่างเรื่อยๆ ที่ประเทศไทยไม่มีการเซ็นต์ใบรับรองใดๆ คิดว่าดีตามกระแสและฉีดไป
อย่างไรก็ตามในปี 2558 อาจารย์จากจุฬาฯ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเรื่องสเต็มเซลล์อย่าง นพ.นิพัญจน์ อิศรเสนา ณ อยุธยา เคยออกมาเตือนแล้วว่า สเต็มเซลล์ไม่สามารถเข้าไปช่วยเพิ่มเทโรเมียชะลอความแก่ได้
ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา ยังกล่าวด้วยว่าในปี 2559 ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศว่ในพ.ร.บ.สถานพยาบาลปี 59 ห้ามโฆษณาโอ้อวด เป็นเท็จ เกินจริง ต้องไม่มีการประกาศว่าฉีดแล้วหน้าเด้ง หรืออะไรก็ตามที่เกินจริง ใครโฆษณาจึงเข้าข่ายความผิด หรือคลินิกเถื่อนต่างๆ ก็จะมีความผิด ซึ่งความผิดดังกล่าวจะสามารถย้อนไปถึงกรรมการบริษัทด้วยไม่ใช่แค่แพทย์ที่ฉีดเท่านั้น
โดยระบุว่าปัจจุบันคดีเกี่ยวข้องกับโฆษณาเกินจริงของสเต็มเซลล์นั้นทะลุกว่า 400 คดีต่อปี!
ในปี 2565 แพทยสภาได้ออกข้อบังคับเพิ่มเติมกำกับในเรื่องการโฆษณา และมีการเพิ่มเติมในเรื่องที่ว่าต้องคำนึงถึงความสิ้นเปลืองของคนไข้ รวมไปถึงต้องไม่สั่งใช้ยาตำรับลับ และไม่หลอกลวงเพื่อประโยชน์ของตน
ทั้งนี้ สมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า สเต็มเซลล์มีประโยชน์ในการรักษาโรคได้แก่
- โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- โรคไขกระดูกฝ่อรุนแรง
- โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่กลับเป็นซ้ำ
- โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียรุนแรง
- โรคมะเร็งในเด็กบางประเภท
- โรคภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติในโรคหนังแข็ง
โดยนายแพทย์ภาสกรย้ำว่า การฉีดสเต็มเซลล์รักษาโรคอื่นอยู่ในชั้นการทดลอง ยังไม่สามารถใช้จริงได้ และการใช้เพื่อซ่อมแซมทั้งหลาย หลักฐานไม่เพียงพอต่อการใช้ ส่วนการเก็บเซลล์จากรกนั้นไม่จำเป็น เพราะมีโอกาสใช้น้อย และโรคที่เกิดขึ้นภายหลังอาจเกิดจากความบกพร่องของสเต็มเซลล์ที่ฉีดเข้าไปก็เป็นได้ จึงไม่แนะนำการเก็บเลือดจากรกแช่แข็งไว้ใช้สำหรับการรักษาตนเอง.
ที่มา
FB : ประกิต สิริวัฒนเกตุ นักกลยุทธ์การลงทุน กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์