แพทยสภาแถลง 'เก็บสเต็มเซลล์จากรก' และ 'สเต็มเซลล์รากผม' ไม่จำเป็น ไม่แนะนำ!
แพทยสภาเผยไม่แนะนำการเก็บสเต็มเซลล์จากรก ชี้สภากาชาดไทยเคลียร์ทิ้งหมดแล้วเพราะไม่เคยมีใครขอใช้แม้จะเก็บมานาน 10 ปี ส่วนการใช้สเต็มเซลล์จากผมนั้นยังอยู่ในขั้นการวิจัย ใช้ไม่ได้จริง เตือนไทยติดอันดับวอชลิสต์ของโลก ด้านการหลอกลวงผู้ป่วยฉีดสเต็มเซลล์
ในเวทีจัดเสวนาประเด็น 'ข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้สเต็มเซลล์' จัดขึ้นที่แพทยสภา ซึ่งเป็นการจัดประชุมด่วน ที่กระทรวงสาธารณสุข ในประเด็นของสเต็มเซลล์ ซึ่งกำลังเป็นประเด็นร้อนระอุในวงการแพทย์ โดยส่วนหนึ่งของเวทีเสวนาได้มีการพูดถึงข้อเท็จจริงของการเก็บสเต็มเซลล์จากรก และการเก็บสเต็มเซลล์จากรากผม
โดย รศ.นพ.อุษณรัสมิ์ อนุรัฐพันธ์ ผู้แทนสมาคมโลหิตวิทยา ให้ข้อมูลว่า การปลูกถ่ายในประเทศไทยส่วนใหญ่จะใช้แหล่งเซลล์ต้นกำเนิดจากกระแสเลือด ( PB stem cell collection) น้อยรายมากที่จะใช้แหล่งเซลล์ต้นกำเนิดอย่าง 'รก' ( Cord Blood stem cell ) ซึ่งมีการใช้แค่เพียง 1-2 รายหรืออาจจะ 0 รายต่อปีเท่านั้น
" ข้อมูลหนึ่งที่สำคัญคือ สภากาชาดไทยที่มีการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดจากรก ประมาณ 2,200 สาย เก็บไว้ 10 ปีไม่เคยมีใครขอใช้ จึงทำการปลดหรือไม่เก็บแล้ว เพราะเก็บไปเปลืองที่ เปลืองงบประมาณ และไม่มีใครเคยขอใช้ "
การปลูกถ่ายด้วยรกนั้นมีขั้นตอนและกระบวนการ รวมถึงภาวะแทรกซ้อนที่แตกต่างจากการปลูกถ่ายด้วยไขกระดูก (Bone marrow harvest) หรือกระแสเลือด (PB stem cell collection) อย่างชัดเจน เพราะรกนั้นเป็นลักษณะเม็ดเลือดขาวในทารก ซึ่งเด็กเกิดมาจะต้องมีการสัมผัสกับเชื้อโรคระหว่างทางกว่าที่จะโต เป็นการปนเปื้อนที่มากับสเต็มเซลล์ ปัญหาหลักคือหมอปลูกถ่ายจะต้องต่อสู้กับการติดเชื้อจากการปลูกถ่ายจากไขกระดูกหรือกระแสเลือด ทำให้ปัจจุบันการปลูกถ่ายโดยรกเกิดน้อยมากต่อปี
นอกจากนี้ ในประเด็นที่มีผู้ถามว่าการเก็บสเต็มเซลล์จากรก สมมติว่าเก็บตั้งแต่ตอนเกิด แต่มาเป็นลูคีเมียตอนอายุ 20 ปีหรือมากกว่านั้น หากละลายออกมาจะสามารถใช้ได้จริงหรือไม่นั้น รศ.นพ.อุษณรัสมิ์ กล่าวว่าปัจจุบันมีข้อมูลการเก็บสเต็มเซลล์จากรกสูงสุดอยู่ที่ 10 กว่าปี ซึ่งไม่มีข้อมูลที่นานกว่านั้น เพราะปัญหาการเก็บสเต็มเซลล์จะมีปัญหาตั้งแต่วิธีการเก็บ กระบวนการเก็บ ว่าเก็บแล้วจะทำให้เซลล์นั้นจะอยู่ได้นานกี่ปี ฯลฯ ซึ่งจากข้อมูลตอนนี้คือได้นาน 10 ปี แต่ยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ยาวนานกว่า 30-50 ปี
รศ.นพ.อุษณรัสมิ์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกับ โพสต์ทูเดย์ ว่า การเก็บสเต็มเซลล์ไว้ในธนาคารสเต็มเซลล์นั้นยังไม่มีความจำเป็น และมีโอกาสที่ใช้ได้น้อยแค่เพียง 0.001%-0.04% ซึ่งก็ต้องพิจารณา (อ่านเพิ่มเติม : เตือน! เก็บสเต็มเซลล์จากรก โอกาสใช้น้อย ไร้หลักฐานการแพทย์รองรับ )
ส่วนข้อเสียของการเก็บไว้นานๆ นั้น คือ ไม่รู้ว่าคุณสมบัติเหมือนเดิมหรือไม่ ขึ้นอยู่กับแหล่งที่เก็บ เพราะเวลาเก็บเซลล์จะมีคุณสมบัติแบบหนึ่ง มีการมีชีวิตอยู่แบบหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป และอยู่ในที่แช่แข็ง ส่วนนี้ยังไม่มีข้อมูลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าเก็บได้นานมากน้อยแค่ไหน ที่มีการเก็บไว้นานสุดในต่างประเทศแค่เพียง 10 ปี ซึ่งในต่างประเทศจะเก็บไว้ในรูปแบบสาธารณะ คือเป็นการบริจาค ไม่ได้เก็บไว้สำหรับตนเอง
สอดคล้องไปกับความเห็นของ รศ.(พิเศษ) นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ซึ่งกล่าวในประเด็นการเก็บสเต็มเซลล์จากรกว่า สมาคมโลหิตแห่งประเทศได้ออกมาให้ข้อมูลว่าการเก็บสเต็มเซลล์จากรกเด็กหลังคลอดนั้นไม่แนะนำ เพราะว่าโอกาสใช้น้อยมาก อย่างไรก็ตามก็เป็นเรื่องที่บุคคลต้องตัดสินใจว่าจะเสียเงินให้แก่สิ่งเหล่านี้หรือไม่
- สเต็มเซลล์รากผมไม่จำเป็น
อีกประเด็นหนึ่งที่มีผู้สนใจ คือการโฆษณาถึงการนำสเต็มเซลล์มาฉีดเพื่อปลูกผมนั้น ได้มีการเชิญ รศ.นพ.รัฐพล ดวงทอง หัวหน้าสาขาโรคเส้นผม และการผ่าตัดปลูกถ่ายเส้นผม ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มาไขข้อกระจ่างว่า การใช้สเต็มเซลล์ในการปลูกถ่ายเส้นผมนั้นยังอยู่ในขั้นตอนของการวิจัย ยังไม่ได้ใช้กับคน นอกจากนี้ผมบริเวณท้ายทอยเรียกว่า Permanent hair หรือผมถาวร ส่วนตัวคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องเก็บไว้ในธนาคารเซลล์ รอให้ผมร่วงไปก่อนแล้วค่อยเก็บตรงท้ายทอยทีหลังยังสามารถนำมาใช้ได้ทัน
- สถานการณ์สเต็มเซลล์ในไทย ติดอันดับหลอกลวงโลก
ด้าน รศ.(พิเศษ) นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ได้กล่าวถึงสถานการณ์การใช้ 'สเต็มเซลล์เถื่อน' ว่า ต่างประเทศหลายแห่งมีการเตือนว่ามีการใช้สเต็มเซลล์ไปใช้โดยไม่มีหลักฐานทางการแพทย์รองรับ โดยเฉพาะในเรื่อง Anti-Aging รวมไปถึงโรคที่แพทย์ปัจจุบันบอกว่าถึงทางตัน รักษาไม่ได้แล้ว จึงเป็นช่องทางให้เกิดการหลอกหลวงเกิดขึ้น โดยบอกว่าให้ใช้สเต็มเซลล์สำหรับการรักษา ซึ่งทาง FDA ของทางสหรัฐอเมริกา เคยออกประกาศที่สอดคล้องไปกับประกาศของแพทยสภาไทย ในปี 2021 ระบุว่า หากถูกเรียกเก็บเงินจากผลิตภัณฑ์ประเภท 'สเต็มเซลล์' นอกเหนือไปจากการทดลองทางคลินิก ให้สันนิษฐานว่าข้อเสนอผลิตภัณฑ์เหล่านั้นผิดกฎหมาย
" เมื่อไปค้นฐานข้อมูลจะพบว่า ตอนนี้ไทยติดอันดับวอชลิสต์หลอกหลวงผู้ป่วยเข้ามารักษา เพราะในข้อมูลวิจัยที่ตีพิมพ์หลายฉบับเมื่อพูดถึงสเต็มเซลล์แบบผิดกฎหมาย"
การใช้สเต็มเซลล์หากมีการนำไปใช้รักษาโรคใดโรคหนึ่งที่นอกเหนือไปจากโรคที่ทางแพทยสภากำหนด ได้แก่ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคไขกระดูกฝ่อรุนแรง โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่กลับเป็นซ้ำ โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียรุนแรง โรคมะเร็งในเด็กบางประเภท และโรคภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติในโรคหนังแข็ง รวมไปถึงโรคเกี่ยวกับกระจกตา โรคที่นอกเหนือไปจากนั้นจะถือว่าเป็น 'การทดลองในมนุษย์' ซึ่งหากไม่มีการลงทะเบียนอย่างถูกต้องจะมีความผิดทางจริยธรรมร้ายแรงหลายต่อ
" การใช้นอกเหนือจากข้อบ่งชี้ จะถือว่าเป็นการทดลองและวิจัย ซึ่งหมายความว่า ไม่มีสิทธิจะเก็บเงินผู้ป่วยได้ เพราะฉะนั้นการเก็บเพื่อรักษาโรคอื่นใด จะเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 9 คือการนำผู้ป่วยไปทดลองโดยไม่มีการแจ้งอย่างถูกต้อง และมีการเรียกเก็บเงิน"
โดยแพทยสภา ยืนยันว่าหากมีข้อบ่งชี้ว่า 'สเต็มเซลล์' สามารถใช้รักษาโรคใดได้โดยถูกต้องและมีงานวิจัยรองรับ จะมีการประกาศในทันทีเพราะถือว่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชน