ชม! ร้านอาหารที่สร้างด้วยนวัตกรรม '3D Printing' ใจกลางกทม.
โค้งขนาดไหนก็เอาอยู่! Ember Cafe & Wine อาคารที่ได้แรงบันดาลใจจาก 'แกรนด์แคนยอน' และสร้างด้วยนวัตกรรมก่อสร้างสุดเฉียบอย่าง 'SCG 3D Printing' ตั้งตระหง่านกลางกรุงฯ
เมื่อโจทย์คือ 'แกรนด์แคนยอน ประเทศสหรัฐอเมริกา' ที่มีความท้าทายว่าจะออกแบบยังไงให้สมจริง และการก่อสร้างทำให้โคังเว้าและสัมผัสเห็นชัด นี่คือโจทย์และดีเทลที่ร้านอาหารและคาเฟ่สุดล้ำ ภายใต้ชื่อ “Ember Cafe & Wine” ตั้งอยู่ที่พระราม 9 ซอย 43 กรุงเทพฯ รังสรรค์ขึ้น
รูปทรงฟรีฟอร์ม โค้งเว้าที่ไม่เป็นเหลี่ยมมุมและใกล้เคียงกับความจริง
สถาปัตยกรรมครั้งนี้ถูกออกแบบและเลือกสร้างด้วยนวัตกรรมการก่อสร้างจาก “SCG 3D Printing” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการพิมพ์ขึ้นรูปด้วยปูนมอร์ตาร์ ที่สามารถก่อสร้าง อาคารรูปทรงฟรีฟอร์ม โดดเด่นด้วยเส้นสายที่มีความโค้งเว้าได้อย่างอิสระ และการเลือกใช้โทนสีอิฐดินเผาเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น
นวัตกรรมนี้ยังช่วยในด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม ช่วยลดระยะเวลาการก่อสร้างถึง 30% ทำให้ประหยัดเวลา เพราะการผลิตองค์ประกอบหลักของชิ้นงานนั้นจะทำการขึ้นรูปปูนมอร์ตาร์จากโรงงาน (Off-site Construction) และนำไปประกอบ ติดตั้งที่หน้างาน ลดความเสี่ยงจากการทำงานล่าช้า ลดเศษวัสดุเหลือทิ้งจากไซต์ก่อสร้างได้กว่า 70% รวมถึงลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ถึง 1,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังคงคุณภาพความสวยงามได้อย่างลงตัว
Mr. Calvin Fong ผู้ที่เป็นทั้งหุ้นส่วนร้านและเชฟ มองว่า การก่อสร้างด้วยนวัตกรรม SCG 3DPrinting เป็นสิ่งใหม่ที่น่าตื่นเต้นและสามารถสร้างได้ใกล้เคียงกับความจริงที่สุด เพราะการก่อสร้างรูปแบบเดิมๆ ที่เป็นเหลี่ยมมุม ไม่สามารถทำความโค้งในแบบที่ต้องการได้ เช่น ช่องแสงธรรมชาติที่อยู่ด้านบนเพดานมีลักษณะเป็นริ้วเส้นความโค้งที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ลดความแข็งกระด้างลง หรือการไล่เฉดสีบริเวณผนังอย่างเป็นธรรมชาติ รวมถึงการติดตั้งประตูกระจกและหน้าต่าง เพื่อเปิดรับแสงธรรมชาติให้มากที่สุด ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลง ดังนั้นการนำนวัตกรรม SCG 3D Printing เข้ามาใช้ในการก่อสร้างสามารถเนรมิตภาพที่วาดฝันไว้ให้เป็นจริง
Ember Cafe & Wine มีพื้นที่ 73 ตารางวา และพื้นที่ใช้สอย 200 ตารางเมตร (รวมทางเดินหลังอาคารและลานจอดรถ) เมื่อเดินเข้ามาในร้านจะเห็นการออกแบบที่สะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ช่องหน้าต่าง ที่ถูกดีไซน์เพื่อช่วยให้แสงธรรมชาติสามารถส่องผ่านเข้ามาในร้านได้อย่างพอดี โดยไม่เพียงแต่ช่วยให้ภายในร้านดูโปร่งสบาย แต่ยังเสริมให้เกิดความรู้สึกเชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมภายนอก ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและเพลิดเพลินไปกับมุมมองที่หลากหลายผ่านแสงและเงาที่เปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวัน
อาคารที่มีอุณหภูมิที่เหมาะสม
การก่อสร้างด้วย SCG 3D Printing ยังช่วยให้สามารถควบคุมอุณหภูมิให้ต่ำกว่าภายนอกได้ 3-5 องศาเซลเซียส นับเป็นการออกแบบที่ตอบโจทย์ทั้งในแง่การใช้งานและความล้ำสมัย เนื่องจากทางร้านยังให้ความสำคัญกับการเก็บรักษาไวน์ เพื่อรักษาคุณภาพและรสชาติให้สมบูรณ์แบบที่สุด โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 15 – 18 องศาเซลเซียส ซึ่งการปกป้องไวน์จากแสงแดดและความร้อนจึงต้องออกแบบห้องเก็บไวน์อย่างพิถีพิถัน คำนึงถึงทิศทางของแสงเพื่อลดการสัมผัสโดยตรงที่อาจทำให้ไวน์เสื่อมคุณภาพ เพื่อให้ไวน์ทุกขวดถูกเก็บรักษาอย่างดีพร้อมเสิร์ฟทุกโอกาสพิเศษ
EMBER Cafe & Wine
สำหรับ EMBER หมายถึง เถ้าถ่านที่ยังคุกรุ่น และ Volcano คือคอนเซปต์ของร้าน ทั้งชื่อร้านและคอนเซปต์ล้วนได้ไอเดีย มาจากการหยิบไวน์มาเป็นจุดนำของเรื่อง ซึ่งมาจาก Signature ของไวน์ที่ร้าน ที่ส่วนใหญ่มาจากแหล่งผลิตใกล้ภูเขาไฟ และเทคนิคการปรุงอาหารด้วยการใช้ไฟเผา นอกจากนี้ตัว M ในโลโก้ ยังถูกออกแบบให้เป็นเหมือนรูปภูเขาไฟ เพื่อคงคอนเซปต์และสื่อถึงความโดดเด่นของร้านได้อย่างมีเอกลักษณ์ ทั้งนี้ “Ember Cafe & Wine”ไม่เพียงแต่เป็นแค่ร้านคาเฟ่และไวน์เท่านั้น แต่ยังเปิดเป็น Class Studio และเป็น Community ของผู้คนที่ชื่นชอบและหลงใหลในเรื่องเดียวกัน ให้มาสัมผัสโลกใหม่ทั้งในด้านรสสัมผัสไวน์ชั้นเลิศและงานดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร
Mr. Calvin Fong เล่าถึงแรงบันดาลใจของการทำร้านนี้ว่า “ด้วยความหลงใหลในไวน์และอาหารจึงเป็นสิ่งที่จุดประกายให้เราออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก เพื่อหาประสบการณ์พร้อมเรียนรู้วัฒนธรรม อาหาร ไปจนถึงการเจอแหล่งวัตถุดิบชั้นดีที่หายาก โดยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบครัวไฟอยู่แล้วเพราะเป็นเสน่ห์ดั้งเดิมที่ได้เห็นกันมา เมื่อก่อนไม่จำเป็นต้องมีปลั๊กไฟ เราใช้เพียงถ่านหรือฟืนในการประกอบอาหาร ดังนั้นแต่ละเมนูของร้านที่เสิร์ฟจึงเป็นงานศิลป์ที่ใช้ไฟในการควบคุมความอร่อยอย่างพิถีพิถันในสไตล์เวสเทิร์น”