'ครึ่งหนึ่งของอายุ + เจ็ด' คำนวณอายุคู่ครองที่คนนอกจะไม่ดราม่า

13 มีนาคม 2568

จากข่าวอื้อฉาวของคิมซูฮยอน สู่ข้อสงสัย 'ใคร่เด็ก' กับ 'รักต่างวัย' จะแยกสองเรื่องนี้อย่างไร? และทำความรู้จัก 'กฎครึ่งหนึ่งของอายุบวกเจ็ด' ไว้คำนวณอายุให้เหมาะสม

'รักต่างวัย' (May-December Relationship) คือ รักต่างวัยที่มีอายุห่างกันมากอย่างชัดเจนตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป โดยสถิติเว็บไซต์ psycom ระบุว่าคู่รักชายหญิงในสหรัฐอเมริกาจะมีอายุห่างกันโดยเฉลี่ย 2.3 ปี และมีคู่รักเพียง 8% เท่านั้นที่อายุห่างกัน 10 ปีขึ้นไป เพราะมีความท้าทายหลายประการในด้านแง่คิด ทัศนคติ อย่างไรก็ตามในแง่มุมทางจิตวิทยามองว่าความรักต่างวัย เติมเต็มบางคนได้ เช่น ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า อาจจะต้องการบุคคลที่ทำให้รู้สึกมั่นคง ในขณะที่ผู้ที่อายุมากกว่าชอบคนที่เด็กกว่ามาก เพราะรู้สึกเป็นที่ยอมรับ เป็นต้น

 

อคติ 'รักต่างวัย' สู่กฎ 'ครึ่งหนึ่งของอายุบวกเจ็ด'

ก่อนจะไปถึงการวิเคราะห์ว่าความรักนี้เป็น ความใคร่เด็ก หรือ รักต่างวัย กันแน่นั้น  เพียงแค่ดูในเรื่องรักต่างวัย ก็ได้รับการยอมรับจากสังคมน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ตัวอย่างเช่น เมื่อดาราฮอลลีวูด จอร์จ คลูนีย์ ประกาศแต่งงานกับ อามาล อาลามุดดิน ซึ่งอายุน้อยกว่าเขา 17 ปี สื่อแท็บลอยด์ก็ตื่นตัวกับข่าวนี้ทันที หรือเมื่อ เอ็มมานูเอล มาครง ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศส หลายคนก็แสดงความประหลาดใจที่พบว่า ภรรยาของเขา บริจิตต์ อายุมากกว่าเขาถึง 24 ปี

 

คนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก จนมีกฎที่เอาไว้คำนวนเรียกว่า ครึ่งหนึ่งของอายุคุณบวกเจ็ด ซึ่งเป็นกฎที่ใช้คำนวณอายุขั้นต่ำของคู่รักที่สามารถคบหากันได้โดยไม่ถูกมองว่า ไม่เหมาะสม

 

กฎนี้ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ แต่มันสะท้อนถึงมุมมองทั่วไปที่ว่า ช่วงอายุที่ห่างกันจะถูกมองแย่กว่าถ้ายังอายุน้อย

 

ตัวอย่างเช่น นักเรียนมัธยมปลายอายุ 18 ปี คบกับเด็กอายุ 16 ปีอาจดูปกติ แต่เมื่อนักศึกษามหาวิทยาลัยอายุ 21 ปี คบกับคนอายุ 16 ปีอาจถูกมองว่าไม่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม กฎนี้เริ่มใช้ไม่ได้ในช่วงอายุที่มากขึ้น เช่น จอร์จ คลูนีย์ แต่งงานตอนอายุ 53 ปี กับ อามาล ที่อายุ 36 ปี ซึ่งอายุของเธอยังอยู่ในเกณฑ์ของกฎนี้ (53/2 + 7 = 34)

 

นอกจากนี้ กฎไม่ได้อธิบายว่า ทำไมคนถึงมองความสัมพันธ์แบบ May-December ในแง่ลบ อีกทั้งยังมีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก อย่างไรก็ตาม บทความที่เผยแพร่โดยนักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย Azusa Pacific ได้แก่ ไบรอัน คอลลิสัน (Brian Collisson) และ ลูเซียน่า ปอนเซ เดอ ลีออง (Luciana Ponce de Leon) ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอคติทางสังคมที่มีต่อความสัมพันธ์ที่มีช่วงอายุห่างกันมาก โดยพวกเขาตั้งสมมติฐานว่า

 

\'ครึ่งหนึ่งของอายุ + เจ็ด\' คำนวณอายุคู่ครองที่คนนอกจะไม่ดราม่า

 

สาเหตุที่ผู้คนไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์แบบ May-December เป็นเพราะพวกเขามองว่าความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

 

คนมักเชื่อว่า ฝ่ายที่อายุมากกว่าได้รับประโยชน์มากกว่าฝ่ายที่อายุน้อยกว่า

 

ตามมุมมองนี้ ฝ่ายที่อายุมากกว่า อาจไม่ได้ดึงดูดฝ่ายที่อายุน้อยกว่าด้วยรูปร่างหน้าตาหรือบุคลิกภาพเพียงอย่างเดียว แต่ใช้ปัจจัยอื่น เช่น เงินทองหรือทรัพยากรต่างๆ เพื่อดึงดูดคู่ของตน  ในอดีตการที่ผู้หญิงแต่งงานกับผู้ชายที่มีอำนาจทางการเมืองและความมั่นคงทางเศรษฐกิจถือเป็นเรื่องปกติ แต่ในสังคมสมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความรักแท้ ความเชื่อที่ว่าการแต่งงานควรมีพื้นฐานจากความรักเพียงอย่างเดียวมากขึ้น

นักวิจัยทั้งสองได้ทำการทดลองขึ้นเพื่อทดสอบสมมติฐานนี้ พวกเขาคัดเลือก ผู้เข้าร่วม 99 คน และให้พวกเขาทำแบบสำรวจภายใต้ชื่อ "การสำรวจทัศนคติทางสังคม" โดยไม่เปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงของการศึกษา พบว่า

  • ผู้เข้าร่วมให้คะแนนความสัมพันธ์ที่อายุใกล้กันในเชิงบวกมากกว่า ในขณะที่ความสัมพันธ์ที่มีช่วงอายุห่างกันถูกมองในแง่ลบ
  •  เมื่อเทียบกับคู่รักต่างเชื้อชาติ ต่างสถานะทางสังคม และต่างน้ำหนักตัว ความสัมพันธ์ที่มีช่องว่างระหว่างวัยได้รับการยอมรับน้อยที่สุด แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์แบบ May-December ยังคงถูกตีตราในสังคม
  • ผู้เข้าร่วมเชื่อว่าผู้ชายอายุเยอะได้ประโยชน์จากความสัมพันธ์มากกว่าผู้หญิงอายุน้อย ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานของนักวิจัย อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นกรณีของผู้หญิงอายุมากกับผู้ชายอายุน้อย คนกลับมองว่าทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์เท่าๆ กัน

ผลการทดลองทำให้เห็นว่า อคติต่อ 'รักต่อวัย' ยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในผู้ชายอายุมากที่มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอายุน้อย

 

\'ครึ่งหนึ่งของอายุ + เจ็ด\' คำนวณอายุคู่ครองที่คนนอกจะไม่ดราม่า

 

 

โรคใคร่เด็ก (Pedophilia) 

สำนักงานกิจการยุติธรรม ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ โรคใคร่เด็ก (Pedophilia) ไว้ว่าเป็นอาการทางจิตที่ผิดปกติที่แสดงออกว่าชอบหรือรักเด็ก แต่เป็นความรักที่เกินขอบเขต รักแบบคลั่งไคล้ ต้องการให้เด็กเป็นของตัวเอง จนนำไปสู่การนำเด็กมาเป็นเหยื่อบำบัดความใคร่ทางเพศ

ลักษณะผู้ป่วยโรคใคร่เด็กไม่แสดงพฤติกรรมที่ชัดเจนและสังเกตอาการจากภายนอกได้ยาก แต่จะสามารถสังเกตพฤติกรรมได้ดังนี้

  • ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายอายุ 35 – 40 ขึ้นไป
  • ไม่ค่อยมีความสุขกับคู่ครองวัยเดียวกัน
  • ส่วนใหญ่เกิดจากคนในครอบครัว/คนใกล้ชิด เช่น เพื่อนบ้าน/ญาติ
  • พยายามเข้าใกล้เด็กด้วยวิธีการตีสนิท หลอกล่อ ให้รางวัล ให้ขนม ให้เงิน เพื่อให้เด็กเชื่อใจ/ตีสนิท
  • เกิดความรู้สึก/มีจินตนาการทางเพศกับเด็กเท่านั้น
  • ชอบมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเด็กและทำซ้ำแล้วซ้ำอีกทั้งเด็กคนเดิมหรือเด็กคนใหม่

 

ทั้งนี้ หากมองผิวเผิน ทั้ง โรคใคร่เด็ก และ รักต่างวัย น่าจะมีความต่างกันโดยสิ้นเชิง เนื่องจากโรคใคร่เด็กจะมุ่งที่การละเมิดเด็กที่อายุก่อนวัยเจริญพันธุ์ และเน้นเรื่องการมีความสัมพันธ์ทางเพศเพื่อนำมาบำบัดความใคร่ของตนเอง ส่วนรักต่างวัยจะมีเรื่องการพัฒนาความสัมพันธ์ ต่างๆ แต่ไม่ทำสิ่งที่ผิดศีลธรรม

 

\'ครึ่งหนึ่งของอายุ + เจ็ด\' คำนวณอายุคู่ครองที่คนนอกจะไม่ดราม่า

 

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีพฤติกรรมที่เรียกว่า Child Grooming คือ กระบวนการที่ผู้ใหญ่ค่อยๆ สร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์กับเด็ก หรือแม้แต่ครอบครัวของเด็ก เพื่อจุดประสงค์ในการล่วงละเมิดทางเพศหรือแสวงหาผลประโยชน์อื่นๆ ในอนาคต ซึ่งจะแตกต่างจากโรคใคร่เด็ก เพราะมีการวางแผน เป็นขั้นตอนและใช้เวลา

 

มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก ระบุว่า พฤติกรรมที่จะสามารถสังเกตได้มีดังนี้

  • เริ่มด้วยการดึงเด็กให้เข้าใกล้โดยการสร้างความไว้วางใจก่อน
  • บางครั้งอาจเข้าหาผู้ปกครองเด็กเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ไว้วางใจ และยอมปล่อยให้เข้าใกล้ชิด หรือใช้เวลาอยู่กับเด็กตามลำพัง ซึ่งกระบวนการนี้อาจใช้เวลาหลายเดือน หรือแม้กระทั่งหลายปี เพื่อรอจนกว่าเด็กจะไว้ใจ ลดระดับการป้องกันตัวลง จนกลายเป็น “วางใจ” สามารถให้สัมผัสร่างกายได้ โดยมีด้วยกัน 6 ขั้นตอน คือ

 

  1. มองหาและเลือกเหยื่ออาชญากรมักเลือกคนที่มีความเปราะบางในจิตใจ เช่น โหยหาความรัก ความอบอุ่น หรือการยอมรับจากคนในครอบครัว ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง โดดเดี่ยวหรือผู้ปกครองละเลย ไม่เอาใจใส่ใกล้ชิด 
  2. สร้างความไว้วางใจ  ผู้กระทำจะเฝ้าสังเกต พยายามทำความรู้จักเหยื่อ หาทางตอบสนองความต้องการของเหยื่อ โดยผู้กระทำอาจเริ่มเผย “ความลับ” หรือแอบทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยกัน เพื่อให้เด็กไว้ใจ พยายามแยกเด็กออกห่างจากครอบครัว เช่น ยอมให้เด็กทำอะไรบางอย่าง ทั้งที่ปรกติผู้ปกครองไม่อนุญาต
  3. ตอบสนองความต้องการ  หลังจากรู้ว่าเด็กต้องการอะไรแล้ว ผู้กระทำก็จะพยายามตอบสนองด้วยการให้สิ่งเหล่านั้น ทั้งข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ รวมถึงแสดงความรักความเอาใจใส่ เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตเด็ก 
  4. พยายามแยกเด็กออกจากผู้ดูแล  เสนอตัวเข้ามาดูแลเด็กเวลาที่ผู้ปกครองไม่ว่าง หรือพยายามทำอย่างอื่นเพื่อสร้างโอกาสที่จะได้อยู่ตามลำพังกับเด็กโดยไม่มีใครมาขัดจังหวะ ทำให้ผู้ปกครองบางคนอาจตกหลุมพรางนี้เพราะดีใจที่มีคนมาสนใจหรือเอาใจใส่ลูก 
  5. เริ่มแสดงออกทางเพศกับเด็ก   มักจะเริ่มจากการสัมผัสที่ดูเป็นธรรมชาติก่อน เช่น โดนตัวโดยบังเอิญ หรือเล่นกับเด็กด้วยการสัมผัสร่างกาย เพื่อให้เด็กคุ้นเคยและจะได้ไม่ขัดขืน เมื่อยกระดับเป็นการสัมผัสแบบทางเพศมากขึ้น ผู้กระทำจะฉกฉวยประโยชน์จากความอยากรู้อยากเห็นของเด็กเพื่อทำให้ปฏิสัมพันธ์นั้นเป็นการละเมิดทางเพศมากขึ้นไปอีกตามลำดับ
  6. ใช้การควบคุม   พฤติกรรมนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่ผู้กระทำได้ล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กแล้ว และต้องการที่จะทำต่อไปเรื่อย ๆ และบังคับให้เด็กทำตามความต้องการของตนเอง จะใช้การข่มขู่หรือการสร้างความรู้สึกผิดเพื่อบังคับให้เด็กเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ และทำให้เด็กต้องร่วมมือให้ละเมิดทางเพศต่อไปและไม่กล้าบอกใคร เช่น ขู่ทำร้ายคนในครอบครัว หรือ พ่อแม่อาจจะตำหนิเด็กและเกลียดพวกเขา หรือ อาจทำให้เห็นว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาที่ใคร ๆ ก็ทำกัน

 

ความแตกต่างระหว่าง Child Grooming และ รักต่างวัย คือ ความรักต่างวัยนั้นเกิดจากความต้องการของคนทั้งคู่ ทุกฝ่ายรับรู้ อยู่ในสายตาของผู้ปกครอง ไม่มีการบังคับ ขู่เข็ญ หรือพยายามครอบงำทางความคิดและจิตใจ  ส่วน Child Grooming จะเกิดจากการหลอกลวง ฉวยโอกาส และพยายามกีดกันคนในครอบครัวออกจากเด็ก หรือแม้กระทั่งแบล็กเมล์เพื่อให้เด็กและเยาวชนทำตามสิ่งที่ตนเองต้องการ.

 

ข้อมูล

psychologytoday.com

มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก

สำนักงานกิจการยุติธรรม

Thailand Web Stat