4 เทคนิค เลี้ยงลูก Gen Beta เตรียมเป็น 'แรงงาน' ที่อยู่รอดในยุค AI
4 เทคนิค ช่วยผู้ปกครองพิชิตความท้าทายครั้งใหญ่หลังมีลูกเป็น Gen Beta (เด็กเกิดปี 2568-2582) ที่เกิดในยุค AI เข้ามาเบียดเบียน 'แรงงาน' จะต้องเตรียมทักษะใดบ้าง?
มูลนิธิเอสซีจี ภายใต้แนวคิด “Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด” แนะ 4 เรื่องสำคัญที่ 'พ่อแม่' ใช้เป็นเทคนิคในการเตรียมความพร้อมให้กับเด็ก Gen Beta
1. สร้างวินัยการเรียนรู้ตลอดชีวิต
World Economic Forum (WEF) เคยสำรวจแนวโน้มของตลาดแรงงานทั่วโลกและได้วิเคราะห์ถึงทักษะที่จำเป็นในอนาคต และผลกระทบต่อการจ้างงานไว้เมื่อปี 2023 ว่า Gen Beta จะเป็น Gen ที่อยู่กับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และยังเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแบบรวดเร็ว ดังนั้นเพื่อให้พวกเขาคุ้นชินกับเรื่องเหล่านี้ จึงควรสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ในบ้าน ทั้งการอ่านหนังสือ เล่นเกมที่กระตุ้นให้ใช้ความคิด หรือทดลองทำอะไรใหม่ๆ รวมถึงสอนให้รู้จักความท้าทาย ความสำเร็จ และความล้มเหลว เป็นแบบหนึ่งของการเรียนรู้ที่จะช่วยฝึกทักษะที่จำเป็นในโลกยุคใหม่ ที่เด็กๆ Gen Beta และ Alpha จะเกิดความคุ้นเคยและนำสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นมาใช้เป็นแบบอย่างที่ดีในการเรียนรู้ตลอดชีวิตต่อไป
ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มออนไลน์ของหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ที่มีเนื้อหาให้เลือกเรียนรู้เพื่อนำไปพัฒนาทักษะทั้งการ reskill, upskill และ new skill มีทั้งหลักสูตรเรียนฟรีและหลักสูตรประกาศนียบัตรแบบ non-degree
2. ปลูกฝังทักษะแห่งอนาคต (Future Skill)
โลกยุคปัจจุบันนี้ หลายองค์กรมองหาคนที่มีทักษะรอบด้าน โดยเฉพาะทักษะชีวิต (Soft Skills) ซึ่งเป็นทักษะที่ใช้ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น มีประโยชน์ในการปรับตัวให้อยู่รอดได้ในปัจจุบัน และนำไปใช้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทักษะชีวิตจะเป็นทักษะที่ติดตัวไปตลอดชีวิต ในขณะที่ทักษะวิชาชีพ หรือ Hard Skills จะมีระยะเวลาในการใช้งาน เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้ความสามารถนั้นอาจจะไม่ทันสมัย จึงต้องมีการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เมื่อนำ Hard Skills (ทักษะวิชาชีพ) มาผนวกกับ Soft Skills (ทักษะชีวิต) จะทำให้ผู้นั้นมีความสามารถในการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังเป็นปัจจัยสำคัญที่องค์กรต่างๆ ใช้เป็นตัวพิจารณาหลักในการคัดเลือกคนเข้าทำงานอีกด้วย มูลนิธิเอสซีจีได้จัดทำวิจัย ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (Thailand Development Research Institute : TDRI) ในเรื่องทักษะที่องค์กรต้องการ พบว่าทักษะชีวิตหรือ Soft Skills ที่ถือว่ามีความสำคัญและจำเป็นในขณะนี้ มี Skill set อยู่ในกลุ่ม 3C คือ
-
ทักษะด้านการสื่อสารและภาษา Communication & Language Skills เป็นทักษะที่มีการระบุไว้ในการรับสมัครงานมากที่สุด พบในการรับสมัครงานทุกสาขา เป็นทักษะที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาตนเองและสร้างความสำเร็จในชีวิต ทั้งในด้านการทำงานและการอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะด้านการสื่อสารและภาษา ได้แก่ ทักษะการสื่อสารที่สั้นและตรงประเด็น (Conciseness), ทักษะการรับฟังอย่างตั้งใจ (active listening), ทักษะการแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา (assertiveness), ทักษะการสื่อสารด้วยวาจา (verbal communication), ทักษะการสื่อสารด้วยภาษากาย (non-verbal communication), ทักษะการเล่าเรื่อง (story telling) และทักษะด้านการปรับตัว (adaptability)
-
ทักษะด้านการทำงานร่วมกัน Collaboration Skills เป็นทักษะที่จำเป็นในการสร้างความสำเร็จขององค์กรและบุคคล เพราะจะช่วยทำให้เกิดความร่วมมือ เกิดการแบ่งปันความรู้ และการพัฒนาทั้งในระดับบุคคลและองค์กร ทักษะในกลุ่มนี้ ได้แก่ ทักษะด้านการรับฟังอย่างตั้งใจ (Active listening), ทักษะการให้และรับความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ (feedback), ทักษะด้านการสร้างความเท่าเทียม (inclusivity) ที่จะช่วยให้ได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกันแม้ว่าจะมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน เช่น ความเห็นอกเห็นใจ (empathy) ความสามารถเข้าใจวัฒนธรรมที่หลากหลาย (cultural competence) การตระหนักรู้หรือละอคติที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว (unconscious bias awareness), ทักษะด้านความสามารถในการใช้คำพูดที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสาร (verbal communication) และทักษะด้านความสามารถในการเขียนที่ชัดเจน (written communication)
-
ทักษะด้านการคิดอย่างสร้างสรรค์ Creative Thinking Skills เป็นทักษะที่ช่วยให้คนและองค์กรสามารถปรับตัวเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้องค์กรสามารถแข่งขันได้ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คนที่มีทักษะด้านนี้จะมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพและสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับองค์กรได้ดี ทักษะในกลุ่มนี้ ได้แก่ ทักษะการแก้ไขปัญหา (Problem solving), ทักษะการเขียนอย่างสร้างสรรค์ (creative writing), ทักษะการเปิดใจยอมรับมุมมองที่แตกต่างจากตัวเอง (open-mindedness), ทักษะการวิเคราะห์ (analysis) และทักษะการรับฟังอย่างตั้งใจ (active listening)
แต่การฝึกฝนเพียงแค่ Soft Skills ในเรื่องดังกล่าวอาจจะไม่เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตในโลกอนาคตที่จะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าและเร็วกว่าโลกปัจจุบัน
ดังนั้นจึงควรปลูกฝังทักษะชีวิตที่จำเป็นสำหรับโลกอนาคตให้กับเด็กๆ ทั้งสอง Gen ตั้งแต่ตอนนี้ ซึ่งเป็นทักษะที่ AI ยังทำไม่ได้ เพื่อชี้ให้เห็นถึงทักษะที่ต้องการเพื่อนำไปสู่การสร้างมนุษย์แห่งอนาคต ได้แก่ ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) ทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์ (Creative Thinking) ทักษะด้านเครือข่ายและความปลอดภัยทางข้อมูล (Network Security and Cybersecurity Skills) ทักษะการปรับตัวและความยืดหยุ่น (Adaptability and Resilience Skills) ทักษะการเป็นผู้นำและสร้างอิทธิพลต่อสังคม (Leadership and Social Influence Skills) เป็นต้น ซึ่งทักษะเหล่านี้ เป็นทักษะที่ AI ยังทำไม่ได้ และจะทำให้ “มนุษย์” ยังคงอยู่เหนือ “AI”
3. พัฒนาทักษะการใช้ AI เพื่อให้เป็นเครื่องมือเสริม Hard Skills เพื่อให้มีทักษะวิชาชีพที่หลากหลาย
เพราะ Gen Beta จะเติบโตมาในยุคที่ AI แวดล้อมอยู่รอบตัว คุณพ่อคุณแม่จึงควรจะต้องสอนให้ลูกๆ Gen นี้ ได้คุ้นเคยกับการทำงานร่วมกับ AI ที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้พวกเขาทำงานได้ดีมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และงานที่ออกมามีความสมบูรณ์มากขึ้น
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกับทาง World Economic Forum จัดทำรายงาน The Future of Jobs 2025 เพื่อให้เห็นถึงความต้องการแรงงานในตลาดและความต้องการทักษะจากบุคลากรที่จะนำไปสู่การสร้างมนุษย์แห่งอนาคต ที่ต้องการทักษะด้านเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็นเรื่อง AI, Big Data, Fintech, Machine Learning ผสานกับทักษะชีวิตด้านการคิดเชิงวิเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ ทักษะด้านเครือข่ายและความปลอดภัยทางข้อมูล และทักษะการเป็นผู้นำและสร้างอิทธิพลต่อสังคม ส่งผลให้ตลาดแรงงานในประเทศไทยต้องปรับโครงสร้างและรูปแบบการทำงานใหม่ โดยงานที่ไม่ต้องใช้ทักษะสูงหรืองานที่ทำเป็นประจำซ้ำๆ ทุกวัน จะใช้ระบบ Automation เข้ามาทดแทน ส่วนบุคลากรจะมีการ upskills ชุดใหญ่ เพื่อให้มีความรู้ความสามารถและทักษะวิชาชีพเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะเอื้อต่อการหมุนเวียนหน้าที่ความรับผิดชอบในองค์กรได้ เป็นการเสริมสร้างทักษะการพัฒนาบทบาทการทำงานของบุคลากรที่ปรับเปลี่ยนได้ (Enhancing Dynamic Work Role) ซึ่งจะส่งผลต่อองค์กรนั้น ให้เป็น Future-Ready Organization หรือองค์กรที่มีการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต
4. ปรับตัวไปพร้อมกับลูก
ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว วิธีการเดิมๆ อาจจะไม่เหมาะและไม่เพียงพออีกต่อไป คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่จึงควรต้องเปิดใจและปรับตัวให้ทัน พร้อมเรียนรู้ไปพร้อมกับเด็กๆ Gen Beta และ Gen Alpha ด้วย การเปิดใจรับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มีความเข้าใจและสามารถสนับสนุนเด็กๆ ได้อย่างเหมาะสม ส่งเสริมพวกเขาให้เติบโตขึ้นมาอย่างมั่นใจ มีคุณภาพ และสามารถปรับตัวให้พร้อมรับมือกับอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา