สธ. โชว์สถิติ Telemedicine ลดจำนวนผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลได้จริง
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขโชว์ตัวเลขการใช้ระบบบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ลดจำนวนผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลลงทุกปี ตั้งเป้าปี 2568 ลดอีก 5%
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายขับเคลื่อนไปสู่ระบบการให้บริการสุขภาพดิจิทัล โดยนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ให้ประชาชนได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว ลดระยะเวลารอคอย ลดการเดินทางและค่าใช้จ่าย ซึ่งจะส่งผลไปถึงการลดความแออัดของสถานพยาบาลและภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์
สำหรับระบบบริการการแพทย์และสาธารณสุขทางไกล (Telemedicine) ซึ่งนำมาใช้มากขึ้นในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 พบว่า มีส่วนช่วยลดจำนวนรับบริการผู้ป่วยนอกลง โดย
- โรงพยาบาลศูนย์ปี 2565 มีผู้ป่วยนอก 23,022 คนต่อวัน ปี 2566 ลดเหลือ 15,490 คนต่อวัน และปี 2567 เหลือ 13,341 คนต่อวัน
- โรงพยาบาลทั่วไป ปี 2565 มีผู้ป่วยนอก 29,299 คนต่อวัน ปี 2566 ลดเหลือ 20,303 คนต่อวัน และปี 2567 เหลือ 18,709 คนต่อวัน
ทั้งนี้ ปี 2568 กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าหมายให้มีการใช้ระบบ Telemedicine ร่วมกับการจัดส่งยาถึงบ้านผ่าน Health Rider และการออกใบรับรองแพทย์ดิจิทัล ลดความแออัดของผู้ป่วยนอก (OPD Case) ในสถานพยาบาลอย่างน้อย 5% ภายในเดือนกันยายน 2568 นี้
มาตรฐานการให้บริการของหน่วยบริการในการบริการการแพทย์และสาธารณสุขทางไกล พ.ศ. 2567
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การดำเนินงานต่อไปต้องเป็นไปตามประกาศสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง มาตรฐานการให้บริการของหน่วยบริการในการบริการการแพทย์และสาธารณสุขทางไกล พ.ศ. 2567 ซึ่งมาตรฐานของ Telemedicine ครอบคลุมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการปรึกษา การตรวจ การวินิจฉัย การรักษา การพยาบาล การป้องกันโรค การส่งเสริมสุขภาพ และการฟื้นฟูสภาพร่างกาย โดยต้องดำเนินการ ดังนี้
1. มีผู้ประกอบวิชาชีพตามมาตรฐานในจํานวนที่เพียงพอ โดยไม่กระทบการให้บริการหลัก
2. มีการขึ้นทะเบียนยืนยันตัวตนของผู้รับบริการและผู้ให้บริการที่รัดกุม มีระบบความปลอดภัยในบัญชี มีระดับความน่าเชื่อถือของการพิสูจน์และยืนยันตัวตนตามเกณฑ์มาตรฐานของสํานักพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) สํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) หรือสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขกําหนด
3. มีระบบเทคโนโลยีและเครื่องมือสื่อสารระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการอย่างชัดเจน เชื่อมโยงการพิสูจน์ยืนยันตัวตน การนัดหมายได้อย่างเพียงพอเหมาะสม
4. มีกระบวนการพิสูจน์ยืนยันตัวตนก่อนให้บริการของผู้รับบริการและผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ
5. มีกระบวนการบันทึกข้อมูล วัน เวลาการให้บริการ รายงานผลการให้บริการ การตรวจสอบและยืนยันกระบวนการให้บริการทุกขั้นตอน ด้วยการบันทึกเสียง ภาพ ข้อความ หรือวิดีโอ สามารถตรวจสอบได้ โดยงานที่บันทึกไว้เป็นงานสร้างสรรค์ของหน่วยบริการ
6. มีการชี้แจงรายละเอียด ขั้นตอนปฏิบัติ ผลที่อาจเกิดขึ้น ความเสี่ยงต่อการรับบริการและกระบวนการบันทึกข้อมูลแก่ผู้รับบริการ และได้รับความยินยอมก่อนให้บริการ
7. มีเอกสารคู่มือหรือแนวปฏิบัติการดําเนินการตามแนวทางและมาตรฐานที่สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขกําหนด
8. มีการบริการการแพทย์และสาธารณสุขทางไกล การจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ตามแนวทางและมาตรฐานภายใต้ประกาศฯ ไปยังผู้ป่วยที่บ้าน
9. ผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตสามารถเข้าถึงระบบประวัติสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ของสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
10. มีมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศและระบบจัดเก็บข้อมูล ระบบจัดการความเสี่ยงและการควบคุมความผิดพลาดทางเทคโนโลยีการสื่อสารตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
11. มีการควบคุมและดูแลผู้ให้บริการและบุคลากรอื่นในหน่วยบริการที่เกี่ยวข้องกับบริการการแพทย์และสาธารณสุขทางไกล ให้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชีพของตนและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
ท้ายสุด นพ.โอภาสกล่าวว่า ขอให้ความมั่นใจว่าการใช้ระบบ Telemedicine ผ่าน Digital Health Platform ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีการเชื่อมโยงตรงถึงสมาร์ทโฟนของประชาชนผ่านแอปพลิเคชันและไลน์ OA หมอพร้อม มีระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Security) ที่ผ่านมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่รับรองโดย ETDA และ DGA .