'ปะการังสู้โลกร้อน' วิจัยไทยสร้างปะการังพันธุ์อึดได้สำเร็จ!
สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาฯ พัฒนา 'ปะการังสู้โลกร้อน' เพิ่มความอึดให้ปะการังตั้งแต่เกิด หลังคาดอีก 30 ปีข้างหน้า ปะการังกว่า 90% เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
ปัญหาปะการังกับสภาวะโลกร้อน
'ปะการังฟอกขาว' คือปรากฎการณ์ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่ส่งผลให้น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น อีกทั้งยังเกิดจากน้ำมือมนุษย์ เช่น การท่องเที่ยว การประมง และมลพิษต่างๆ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าในอีก 30 ปีข้างหน้า ปะการังทั่วโลกกว่า 90% อาจเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ซึ่งแน่นอนว่าจะกระทบต่อห่วงโซ่อาหารและสภาพอากาศ
โพสต์ทูเดย์พบว่า จากรายงานของ IUCN หรือ สหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ธรรมชาติ ในปี 2024 ระบุว่า 44% ของสายพันธุ์ปะการังที่สร้างแนวปะการังทั่วโลกกำลังเผชิญกับความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ สอดคล้องกับรายงานของ IPCC หรือ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในปี 2018 คาดการณ์ว่า หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้น 1.5°C แนวปะการังจะลดลง 70–90% และหากเพิ่มขึ้นถึง 2°C อาจสูญเสียถึง 99%
ขณะที่ข้อมูลจากนักนิเวศวิทยาทางทะเลของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ระบุว่า พื้นที่แนวปะการังที่เสื่อมโทรมในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 77% ภายในระยะเวลา 10 ปี
ดังนั้น นักวิจัยจากสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงตั้งโจทย์สำคัญที่พยายามหาคำตอบให้ได้ว่า “ทำอย่างไรปะการังอยู่รอดในภาวะโลกร้อน?”
เลี้ยงให้เอาตัวรอดได้ตั้งแต่แรกเกิด!
ศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ และรองกรรมการผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาฯ ได้ทำการศึกษาทดลองเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ปะการังหลายรุ่น มาตั้งแต่ปี 2548 ที่สถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเลและศูนย์ฝึกนิสิต เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี และพบว่า
“ปะการังสามารถปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในภาวะโลกร้อนได้ดี เมื่อปะการังถูกเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิสูงตั้งแต่แรกเกิด”
ศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์
โดยธรรมชาติแล้ว ปะการังขยายพันธุ์ 2 วิธี ได้แก่
- สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ คือ การที่ปะการังปล่อยไข่และสเปิร์มออกมาผสมกันในน้ำในช่วงคืนวันเพ็ญ ซึ่งมีโอกาสรอดเติบโตเป็นปะการังเพียง 0.001% เท่านั้น (ทั้งถูกสัตว์น้ำกิน และไม่ปฏิสนธิ)
- สืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ คือ ปะการังที่หักออกมาจากปะการังเดิม ถ้าหักมาตกในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมก็จะสามารถเจริญเติบโตเป็นกลุ่มปะการังใหม่ได้ การขยายพันธุ์แบบนี้ทำให้ปะการังมีโอกาสรอด 50% แต่ความหลากหลายของสายพันธุ์จะต่ำ
ศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชี้ว่าการขยายพันธุ์ตามธรรมชาติของปะการังทั้ง 2 แบบดังกล่าวนั้น ค่อนข้างใช้เวลานาน ยิ่งในสภาวะโลกร้อน การผสมพันธุ์แบบอาศัยเพศยิ่งลดลงไปมาก ถ้าเราปล่อยให้ปะการังฟื้นฟูขยายพันธุ์ด้วยตัวเองตามธรรมชาติ ปะการังอาจเติบโตทดแทนปะการังที่ตายจากภาวะปะการังฟอกขาวไม่ทัน และเสี่ยงสูญพันธุ์ในอีกไม่ช้า
ปะการังที่ได้รับการผสมพันธ์เทีียม
สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ และคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองทัพเรือ จึงพยายามขยายพันธุ์ปะการังด้วย “เทคนิคผสมเทียม” คือ การเลียนแบบการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติของปะการัง
ศ. ดร.สุชนา อธิบายการขยายพันธุ์ปะการังด้วยเทคนิคผสมเทียมว่า “นักวิจัยจะลงเก็บเซลล์สืบพันธุ์ ทั้งไข่และสเปิร์มของปะการังในคืนเดือนเพ็ญ ซึ่งเป็นช่วงที่ปะการังทั่วท้องทะเลพร้อมผสมพันธุ์ โดยการปล่อยสเปิร์มและไข่ออกมาพร้อมกัน แล้วนำเซลล์สืบพันธุ์เหล่านี้มาผสมพันธุ์ในบ่อเพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ จนเกิดเป็นตัวอ่อนปะการัง แล้วจึงเตรียมวัสดุคืออิฐมอญ เพื่อให้ตัวอ่อนปะการังลงเกาะและเติบโตในโรงเพาะเลี้ยงเป็นเวลา 2 ปี ก่อนจะนำปะการังเหล่านี้กลับลงสู่ทะเลให้เติบโตอีก 3 ปี เมื่อปะการังอายุ 5 ปีปะการังก็จะพร้อมออกไข่ครั้งแรกได้ วิธีนี้ทำให้ปะการังมีโอกาสรอดและเติบโตสูงขึ้น”
โรงเพาะเลี้ยงที่แสมสาร
จำลองสภาวะโลกร้อน! ให้ปะการัง
ไม่เพียงแต่การผสมพันธุ์เทียมเท่านั้น แต่ยังมีการจำลองสภาวะโลกร้อนให้ปะการังมีความอึดตามธรรมชาติ โดยทีมนักวิจัยจะนำตัวอ่อนปะการังที่เกิดจากการสืบพันธุ์แบบผสมเทียมมาอนุบาลในโรงเพาะเลี้ยงที่มีอุณหภูมิสูง 34 องศาเซลเซียส (น้ำทะเลปกติมีอุณหภูมิ 30-32 องศาเซลเซียส) ซึ่งจะมีปะการังที่สามารถอยู่รอดได้จากสภาพแวดล้อมดังกล่าว
เมื่อครบกำหนดระยะเวลา 2 ปี ทีมวิจัยก็นำตัวอ่อนปะการังที่รอดเหล่านี้ลงสู่ทะเล และพบว่าปะการังเหล่านี้มีการปรับตัวให้ทนต่อน้ำทะเลที่มีอุณหภูมิสูงได้มากกว่าปะการังตามธรรมชาติ จึงทำให้มีโอกาสรอดจากการฟอกขาวได้มากขึ้น ถือเป็น “ปะการังสู้โลกร้อน” ที่เกิดขึ้นจากการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดตั้งแต่เด็ก
ผลสัมฤทธิ์ของโครงการนี้คือ
หลังจากที่ลูกปะการังสู้โลกร้อนถูกปล่อยลงทะเล มีการเติบโต และกลายเป็นพ่อแม่พันธุ์
ที่สามารถสืบพันธุ์เหมือนปะการังตามธรรมชาติ โดยพบครั้งแรกแล้วเมื่อปี 2566
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการอนุรักษ์ปะการังด้วยเทคนิคผสมเทียมและดูแลในโรงเพาะตลอด 2 ปีอาจมีมูลค่าค่อนข้างสูง กล่าวคือ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัวอ่อนปะการัง 1 ตัว เมื่อเทียบกับการหักปักชำปะการัง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อปะการัง 1 ต้น แต่ในมุมมองของทีมวิจัยมองว่า 'คุ้มค่า' แก่การลงทุน เนื่องจากได้ปะการังพันธุ์ใหม่ที่ผ่านการเรียนรู้ และทนต่อน้ำทะเลที่อุณหภูมิสูงขึ้นจากสภาวะโลกร้อนได้
อีกทั้งปะการังจะปล่อยเซลล์สืบพันธุ์สีชมพูขนาดจิ๋วจำนวนมากออกมาในน้ำทะเลพร้อม ๆ กัน ซึ่งเมื่อเกิดปรากฏการณ์นี้ทีมนักวิจัยก็จะออกดำน้ำเก็บเซลล์สืบพันธุ์เหล่านี้มาช่วยขยายพันธุ์ต่อผ่านการผสมเทียม เป็นปะการังสู้โลกร้อนรุ่นต่อ ๆ ไปได้อีกด้วย
นักวิจัยปะการัง
ท้ายสุด อาจารย์สุชนากล่าวว่า การอนุรักษ์ปะการังไม่สามารถทำได้เพียงลำพังโดยนักวิทยาศาสตร์ แต่ต้องดำเนินการในหลายมิติ ทั้งการฟื้นฟูแนวปะการัง การลดมลพิษและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การสนับสนุนงบประมาณระยะยาวจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป จะเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องและฟื้นฟูปะการังให้คงอยู่ต่อไปในอนาคต ซึ่งหากมีการดำเนินการที่เหมาะสม ปะการังอาจสามารถฟื้นตัวและคงอยู่เป็นระบบนิเวศที่สำคัญของท้องทะเลต่อไปได้.