posttoday

"เรือไฟนครพนม"จากประเพณีท้องถิ่นสู่เป้าหมาย"เทศกาลระดับโลก"

29 เมษายน 2568

จากนี้"ประเพณีไหลเรือไฟ"ชาวนครพนม ไม่เป็นเพียงแค่ความงดงามตระการตาในค่ำคืนออกพรรษาอีกต่อไป ทว่ากำลังถูกยกระดับให้เป็นหนึ่งใน Soft Power สำคัญของไทย

เมื่อประเพณีเก่าแก่ริมฝั่งโขง อย่าง "ประเพณีไหลเรือไฟ" ของชาวนครพนม ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความงดงามตระการตาในค่ำคืนออกพรรษาอีกต่อไป แต่กำลังถูกยกระดับให้เป็นหนึ่งใน Soft Power สำคัญของไทย ที่รัฐบาลมุ่งมั่นผลักดันสู่เวทีโลก สะท้อนการใช้ "ทุนทางวัฒนธรรม" ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

"ประเพณีไหลเรือไฟ" หรือที่ชาวอีสานเรียกขานว่า "เฮือไฟ" คือประเพณีที่สืบทอดมายาวนาน ควบคู่กับสายน้ำโขง จัดขึ้นในช่วงเทศกาลออกพรรษา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หัวใจของประเพณีนี้เต็มไปด้วยความเชื่อและศรัทธา ทั้งการบูชารอยพระพุทธบาท การสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การแสดงความกตัญญูและขอขมาพระแม่คงคา การปล่อยความทุกข์ให้ลอยไปกับสายน้ำ รวมถึงการขอพรให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล

\"เรือไฟนครพนม\"จากประเพณีท้องถิ่นสู่เป้าหมาย\"เทศกาลระดับโลก\"

เอกลักษณ์สำคัญอยู่ที่ "เรือไฟ" ซึ่งสร้างขึ้นจากวัสดุธรรมชาติอย่างไม้ไผ่ ถูกนำมาประกอบเป็นโครงรูปทรงต่างๆ ทั้งพญานาค สัตว์ในวรรณคดี หรือสัญลักษณ์ทางศาสนา ประดับประดาด้วยตะเกียงหรือเทียนนับหมื่นนับแสนดวงที่เรียงร้อยเป็นลวดลายวิจิตรงดงาม เมื่อถึงเวลาอันเป็นมงคล เรือไฟเหล่านี้จะถูกจุดให้สว่างไสวเต็มลำ ก่อนจะถูกปล่อยให้ลอยไปตามลำน้ำโขง สร้างภาพความประทับใจและความศรัทธาที่สว่างไสวไปทั่วคุ้งน้ำ

เมื่อค่ำวันที่ 28 เมษายน 2568 ณ บริเวณลานพนมนาคา จังหวัดนครพนม นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ซึ่งเดินทางมาประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ได้ร่วมในพิธีสักการะพญาศรีสัตตนาคราช สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองนครพนม เพื่อความเป็นสิริมงคล และร่วมจุดเชิงตะเกียงบน "เรือไฟโบราณ"

\"เรือไฟนครพนม\"จากประเพณีท้องถิ่นสู่เป้าหมาย\"เทศกาลระดับโลก\"

การมาเยือนครั้งนี้ ตอกย้ำถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการสนับสนุนกิจกรรมและประเพณีท้องถิ่นทั่วประเทศ โดยเฉพาะประเพณีไหลเรือไฟ ที่นายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะเดินหน้ายกระดับสู่การเป็น "เทศกาลเรือไฟโลก" เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้มาสัมผัสเสน่ห์และความงดงามของวัฒนธรรมไทย

สิ่งที่น่าสนใจในงานครั้งนี้ คือการจัดแสดง "เรือไฟบก" ซึ่งเป็นการจัดแสดงเป็นครั้งแรก เนื่องในโอกาสการมาเยือนของคณะรัฐมนตรี เรือไฟจากอำเภอท่าอุเทนลำนี้ สร้างขึ้นจากไม้ไผ่นับร้อยลำ ตั้งตระหง่านให้ผู้ชมได้เห็นโครงสร้างอันแข็งแรงและความประณีตในการประกอบ ซึ่งปกติแล้วผู้ชมมักจะเห็นเพียงลวดลายที่เกิดจากแสงไฟยามลอยอยู่ในน้ำเท่านั้น การจัดแสดง "เรือไฟบก" จึงเป็นการเปิดมิติใหม่ ให้เห็นถึงเบื้องหลังความสำเร็จและความสามัคคีของคนในชุมชนที่ร่วมแรงร่วมใจสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกนี้ขึ้นมา สะท้อนให้เห็นถึง "Smart" ในการนำเสนอประเพณีในมุมมองที่แตกต่างและเข้าถึงง่ายขึ้น

\"เรือไฟนครพนม\"จากประเพณีท้องถิ่นสู่เป้าหมาย\"เทศกาลระดับโลก\"

นายกรัฐมนตรีได้รับมอบ "พญานาคเกี้ยว" เป็นของที่ระลึกจากตัวแทนชาวนครพนม และร่วมชมชุดการแสดง "ประทีปไหลเรือไฟนฤมิตรนาฏกรรม" เหนือลำน้ำโขง ซึ่งเป็นการแสดงที่ผสมผสานความงดงามของประทีปกับนาฏศิลป์พื้นถิ่น ก่อนที่ในวันรุ่งขึ้น (29 เมษายน 2568) จะเป็นประธานการประชุม ครม.สัญจร และติดตามสถานการณ์การค้าชายแดน

การที่ภาครัฐให้ความสำคัญและเข้ามาสนับสนุนประเพณีไหลเรือไฟอย่างจริงจังเช่นนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการใช้ Soft Power ที่มีศักยภาพสูงของไทย ในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ดึงดูดนักท่องเที่ยว และสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดนครพนมและประเทศไทยในระดับสากล การผลักดัน "เทศกาลเรือไฟไทย สู่เทศกาลเรือไฟโลก" ไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน แต่คือเป้าหมายที่เป็นไปได้ ด้วยพลังของประเพณีอันงดงาม ศรัทธาอันแรงกล้าของชุมชน และการสนับสนุนอย่างเป็นระบบจากภาครัฐ ที่จะทำให้สายน้ำโขงในค่ำคืนออกพรรษาของนครพนม สว่างไสวและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอย่างแท้จริง.

Thailand Web Stat