"เรือไฟนครพนม"จากประเพณีท้องถิ่นสู่เป้าหมาย"เทศกาลระดับโลก"
จากนี้"ประเพณีไหลเรือไฟ"ชาวนครพนม ไม่เป็นเพียงแค่ความงดงามตระการตาในค่ำคืนออกพรรษาอีกต่อไป ทว่ากำลังถูกยกระดับให้เป็นหนึ่งใน Soft Power สำคัญของไทย
เมื่อประเพณีเก่าแก่ริมฝั่งโขง อย่าง "ประเพณีไหลเรือไฟ" ของชาวนครพนม ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความงดงามตระการตาในค่ำคืนออกพรรษาอีกต่อไป แต่กำลังถูกยกระดับให้เป็นหนึ่งใน Soft Power สำคัญของไทย ที่รัฐบาลมุ่งมั่นผลักดันสู่เวทีโลก สะท้อนการใช้ "ทุนทางวัฒนธรรม" ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
"ประเพณีไหลเรือไฟ" หรือที่ชาวอีสานเรียกขานว่า "เฮือไฟ" คือประเพณีที่สืบทอดมายาวนาน ควบคู่กับสายน้ำโขง จัดขึ้นในช่วงเทศกาลออกพรรษา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หัวใจของประเพณีนี้เต็มไปด้วยความเชื่อและศรัทธา ทั้งการบูชารอยพระพุทธบาท การสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การแสดงความกตัญญูและขอขมาพระแม่คงคา การปล่อยความทุกข์ให้ลอยไปกับสายน้ำ รวมถึงการขอพรให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล
เอกลักษณ์สำคัญอยู่ที่ "เรือไฟ" ซึ่งสร้างขึ้นจากวัสดุธรรมชาติอย่างไม้ไผ่ ถูกนำมาประกอบเป็นโครงรูปทรงต่างๆ ทั้งพญานาค สัตว์ในวรรณคดี หรือสัญลักษณ์ทางศาสนา ประดับประดาด้วยตะเกียงหรือเทียนนับหมื่นนับแสนดวงที่เรียงร้อยเป็นลวดลายวิจิตรงดงาม เมื่อถึงเวลาอันเป็นมงคล เรือไฟเหล่านี้จะถูกจุดให้สว่างไสวเต็มลำ ก่อนจะถูกปล่อยให้ลอยไปตามลำน้ำโขง สร้างภาพความประทับใจและความศรัทธาที่สว่างไสวไปทั่วคุ้งน้ำ
เมื่อค่ำวันที่ 28 เมษายน 2568 ณ บริเวณลานพนมนาคา จังหวัดนครพนม นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ซึ่งเดินทางมาประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ได้ร่วมในพิธีสักการะพญาศรีสัตตนาคราช สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองนครพนม เพื่อความเป็นสิริมงคล และร่วมจุดเชิงตะเกียงบน "เรือไฟโบราณ"
การมาเยือนครั้งนี้ ตอกย้ำถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการสนับสนุนกิจกรรมและประเพณีท้องถิ่นทั่วประเทศ โดยเฉพาะประเพณีไหลเรือไฟ ที่นายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะเดินหน้ายกระดับสู่การเป็น "เทศกาลเรือไฟโลก" เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้มาสัมผัสเสน่ห์และความงดงามของวัฒนธรรมไทย
สิ่งที่น่าสนใจในงานครั้งนี้ คือการจัดแสดง "เรือไฟบก" ซึ่งเป็นการจัดแสดงเป็นครั้งแรก เนื่องในโอกาสการมาเยือนของคณะรัฐมนตรี เรือไฟจากอำเภอท่าอุเทนลำนี้ สร้างขึ้นจากไม้ไผ่นับร้อยลำ ตั้งตระหง่านให้ผู้ชมได้เห็นโครงสร้างอันแข็งแรงและความประณีตในการประกอบ ซึ่งปกติแล้วผู้ชมมักจะเห็นเพียงลวดลายที่เกิดจากแสงไฟยามลอยอยู่ในน้ำเท่านั้น การจัดแสดง "เรือไฟบก" จึงเป็นการเปิดมิติใหม่ ให้เห็นถึงเบื้องหลังความสำเร็จและความสามัคคีของคนในชุมชนที่ร่วมแรงร่วมใจสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกนี้ขึ้นมา สะท้อนให้เห็นถึง "Smart" ในการนำเสนอประเพณีในมุมมองที่แตกต่างและเข้าถึงง่ายขึ้น
นายกรัฐมนตรีได้รับมอบ "พญานาคเกี้ยว" เป็นของที่ระลึกจากตัวแทนชาวนครพนม และร่วมชมชุดการแสดง "ประทีปไหลเรือไฟนฤมิตรนาฏกรรม" เหนือลำน้ำโขง ซึ่งเป็นการแสดงที่ผสมผสานความงดงามของประทีปกับนาฏศิลป์พื้นถิ่น ก่อนที่ในวันรุ่งขึ้น (29 เมษายน 2568) จะเป็นประธานการประชุม ครม.สัญจร และติดตามสถานการณ์การค้าชายแดน
การที่ภาครัฐให้ความสำคัญและเข้ามาสนับสนุนประเพณีไหลเรือไฟอย่างจริงจังเช่นนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการใช้ Soft Power ที่มีศักยภาพสูงของไทย ในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ดึงดูดนักท่องเที่ยว และสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดนครพนมและประเทศไทยในระดับสากล การผลักดัน "เทศกาลเรือไฟไทย สู่เทศกาลเรือไฟโลก" ไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน แต่คือเป้าหมายที่เป็นไปได้ ด้วยพลังของประเพณีอันงดงาม ศรัทธาอันแรงกล้าของชุมชน และการสนับสนุนอย่างเป็นระบบจากภาครัฐ ที่จะทำให้สายน้ำโขงในค่ำคืนออกพรรษาของนครพนม สว่างไสวและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอย่างแท้จริง.