ย้อน! ท่าทีใช้ยาสมุนไพรแทน 'ยาเบาหวาน' ท่ามกลางข้อกังวลของปชช.
ย้อนสัมภาษณ์ อธิบดีกรมแพทย์แผนไทยฯ ประเด็นจ่อใช้ยาสมุนไพรไทยแทนยาแผนปัจจุบัน! ท่ามกลางความกังวลของประชาชนในโซเชียลมีเดียในประเด็นต่างๆ
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข ได้เดินเกมนโยบาย 'เปลี่ยนกระทรวงใช้งบประมาณ เป็นกระทรวงหางบประมาณ' โดยมีหนึ่งในนโยบายเรือธง คือ การใช้ยาสมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบัน เพื่อทดแทนการนำเข้ายาจาต่างประเทศ ท่ามกลางคำถามจากสื่อมวลชนในเบื้องต้น ว่าจะสามารถทำให้แพทย์แผนปัจจุบันใช้ยาไทยได้อย่างไร โดยรมว.กระทรวงสาธารณสุขกล่าวกับสื่อทำนองว่า หากอธิบดีกรมการแพทย์ปัจจุบัน ซึ่งมาจากกรมการแพทย์แผนไทยไม่สามารถทำได้ ก็ไม่รู้จะยังไง
ทั้งนี้ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โพสต์ทูเดย์ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โดยเจาะไปที่นโยบายการใช้ยาสมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบัน (อ่านเพิ่มเติม : กางแผนใช้ยาไทย ดึง 3 ยาแผนปัจจุบันออกจากระบบสปสช.แน่ปีนี้!)
หนึ่งในประเด็นที่มีการพูดถึงคือ จะทำยังไงให้แพทย์แผนปัจจุบันใช้ยาสมุนไพรไทย (เพราะก่อนหน้าการสัมภาษณ์มีการให้ข้อมูลแต่เพียงว่าจะมีการให้เงินพิเศษสำหรับโรงพยาบาลที่ใช้ได้ตามเป้า ซึ่งก็ไม่ได้สะท้อนว่าแพทย์แผนปัจจุบันจะเลือกใช้) โดยครั้งนั้น นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ตอบกลับมาว่า
“ โดยหลักการคือ เราต้องลดการใช้ยาแผนปัจจุบัน และเห็นการใช้ยาสมุนไพรไทยเพิ่มขึ้น จึงต้องนำยาสมุนไพรไทยมาแมตช์กับยาแผนปัจจุบัน โดยได้มาทั้งหมด 10 โรค 10 ตัว แต่ใน 10 ตัวนี้ เราล็อกแน่ๆ คือ 3 ตัวที่จะต้องนำยาแผนปัจจุบันออกจากระบบ ก็คือ
- ยาทาแก้ปวด Analgesic Balm โดยใช้ ไพล ทดแทน
- ยาน้ำแก้ไอ ใช้ ประสะมะแว้ง หรือ มะขามป้อม ได้
- ยาระบาย Bisacodyl ทางแผนไทยใช้ มะขามแขก
มีอีก 2 ตัวที่อยู่ในขั้นการพิจารณาจะเป็นตัวยาลดอาการแน่นอืด ท้องเฟ้อ คือ ขมิ้นชัน และเพชรสังฆาต ที่รักษาริดสีดวง แต่เนื่องจากทางโรงพยาบาล ขอว่าเลือกตัวอื่นด้วยได้หรือไม่ จึงมีการล็อคแค่ 3 ตัวก่อนที่มั่นใจว่าทุกโรงพยาบาลจะสามารถเอาออกได้อย่างแน่นอน ”
‘ เอาออก’ ในความหมายของอธิบดีฯ คืออะไร?
ออกจากบัญชีโรงพยาบาลเลยครับ ก็จะไม่มียาแผนปัจจุบันอยู่ในบัญชียาโรงพยาบาล แล้วก็ใช้ยาแผนไทยแทน
ในคราวนั้น อธิบดีฯ ตอบเช่นนั้น และนั่นจึงเป็นการนำมาสู่การถกเถียงเมื่อวานนี้ (28 เมษายน 2568) ซึ่งมีผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียรายหนึ่งได้โพสต์ ตารางเปรียบเทียบการใช้ยาสมุนไพรไทยในโรงพยาบาลเพื่อทดแทนยาแผนปัจจุบัน และให้ความเห็นและข้อกังวลในประเด็นนี้ไว้ และมีการแชร์ต่อในเพจโซเชียลเช่น Drama Addict ส่งผลให้ประชาชนออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง ซึ่งโพสต์ทูเดย์จะขอสรุปประเด็นต่างๆ ไว้ดังนี้
-
ข้อกังวลเกี่ยวกับการนำไปใช้กับยาสำคัญ เช่น ยาโรคเบาหวาน ความดัน ฯลฯ โดยมีผู้ออกความเห็นว่า ณ ปัจจุบันนี้มีการบังคับใช้แค่เพียง 3 ตัว ซึ่งเป็นยาที่ไม่ได้สำคัญมาก แต่กลัวว่าในอนาคตจะมีการนำไปใช้กับยาสำคัญอื่นๆ
-
แพทย์แผนปัจจุบัน และแพทย์แผนไทย ไม่ได้เรียนรู้ศาสตร์เดียวกัน / แพทย์แผนปัจจุบันไม่เก่งสมุนไพรไทยมากพอ และแพทย์แผนไทยไม่นิยมจ่ายยาเดี่ยวจะใช้ยาตำรับมากกว่า ในลักษณะของ 'แก้กัน' เนื่องจากสมุนไพรบางตัวเมื่อกินเชิงเดี่ยวมากๆ จะทำให้เกิดอาการข้างเคียงอื่นได้ จึงต้องมีการปรุงยาเพื่อแก้ฤทธิ์หรือหักล้างกัน
-
ยังมีงานวิจัยไม่มากพอหรือไม่?
-
แนะควรทำเป็นตัวเลือกในการรักษามากกว่า การบังคับโดยการถอดยาออกจากระบบ - โดยมีข้อเสนอจากประชาชนว่า น่าจะสนับสนุนให้เป็นทางเลือกแก่ประชาชนมากกว่า
-
ข้อสงสัยเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของโครงการ
ทั้งนี้ นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เคยให้สัมภาษณ์ในประเด็นต่างๆ ในภาพรวม ไว้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีประเด็นที่ตรงกับข้อสงสัยของประชาชน ดังต่อไปนี้
1. ประเด็นการนำไปใช้กับยาสำคัญ
นพ.สมฤกษ์กล่าวว่า ในปีหน้า จะมีการขยายการใช้ยาสมุนไพรในโรคยากขึ้น
“ ในขั้นตอนต่อไปที่เป็นโรคยากขึ้น เราต้องการงานวิจัยรับรอง เช่น เบาหวาน หรือการลดน้ำตาล เช่น ขมิ้นชันลดน้ำตาลได้ หรือมะระขี้นกก็ลดน้ำตาลได้ เพียงแต่ต้องการงานวิจัยที่มีน้ำหนักไว้รับรอง ... ปีหน้าเรามองไปที่เรื่องของเบาหวาน เรื่องของมะเร็ง ซึ่งจะใช้ในการช่วยบรรเทาอาการที่เกิดจากการรักษามะเร็ง โรคผิวหนัง โดยเฉพาะสะเก็ดเงิน ซึ่งสะเก็ดเงินมีความมั่นใจในเรื่องของการรักษา มีผลวิจัยระดับหนึ่งเพียงแต่ว่าไม่ได้ทำร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบันเท่านั้น ตอนนี้เราจึงกำลังทำงานให้เกิดการวิจัยร่วมระหว่างแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทยครับ”
2. ประเด็นการใช้ของแพทย์แผนปัจจุบัน / งานวิจัยไม่มากพอ
นพ.สมฤกษ์ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า
“ตัวยาสมุนไพรที่ให้ใช้ เป็นยาที่ได้รับการยืนยันว่าใช้ได้ผลดีนะครับ ซึ่งเรากำลังทำงานร่วมกับกรมการแพทย์ (ดูแลเรื่องการรักษาแผนปัจจุบัน) เพื่อทำแนวทางการใช้ยา โดยแพทย์แผนปัจจุบันเป็นผู้ทำออกมาให้ ซึ่งปัจจุบัน เรื่องไพล ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อไปกำลังทำเรื่องตัวยาแก้ไอ ก็อยากให้มั่นใจ เพราะกรมการแพทย์ทำแนวทางออกมาแล้ว
ทั้งนี้ ยาดังกล่าวยังมีผลการใช้และวิจัยออกมารับรองเรียบร้อยครับ และตัวยาที่ระบุให้ใช้นั้นสามารถใช้ร่วมกับยาแผนตะวันตกได้โดยไม่มีผลข้างเคียง”
นพ.สมฤกษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้ปรับโครงสร้างกรมฯ และตั้งกองหน่วยงานที่เป็นหน่วยงานวิจัยขึ้นมา โดยดึงคนที่มีศักยภาพอยู่รวมกันแล้วทำวิจัย ซึ่งผู้ที่ให้ทุนวิจัยคือ กระทรวงอว. หรือ สกสว. ตั้งแผนวิจัยไว้ด้วยงบประมาณปีละพันล้าน เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้ยาสมุนไพรและการใช้บริการแพทย์แผนไทย
นอกจากเน้นนำวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาสร้างการยอมรับให้แก่ยาสมุนไพรไทยแล้ว ในระบบบริการก็มีการอำนวยความสะดวกให้แก่แพทย์แผนปัจจุบันที่จะใช้ยาสมุนไพรไทยด้วย
“ ในระบบบริการ เราหยิบเอาโรคที่เจอบ่อยและแพทย์มีโอกาสรักษา และใส่ยาสมุนไพรใส่ในระบบคอมพิวเตอร์ในโรงพยาบาล ซึ่งทำให้แพทย์สามารถที่จะคลิกเลือกการรักษาด้วยยาสมุนไพร แล้วก็ขึ้นตัวยาสําหรับโรคนั้นมาให้ ทำให้แพทย์สั่งยาสมุนไพรได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องจําโดสยา อย่างไรก็ตามเราคิดว่าหากแพทย์ได้รักษาโรคเดิมๆ สัก 2 เดือนเจอไป 5 - 10 ราย ก็จะจำได้”
3. วัตถุประสงค์ของโครงการ
อย่างที่เกริ่นแล้วว่านโยบายของกระทรวงสาธารณสุขคือการปั้น 'เศรษฐกิจสุขภาพ' ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ แล้วทำไมต้อง 'ยาสมุนไพรไทย'?
โพสต์ทูเดย์ เคยเจาะลึกบทความหนึ่งเกี่ยวกับ 'สารตั้งต้น' ของการผลิตยาแผนปัจจุบัน ( อ่านเพิ่มเติม : หากสงครามการค้าคืบไปยังวงการผลิตยา! แล้วอเมริกาจะชนะจริงหรือ?) จะพบว่าไม่ว่าจะสืบไปไกลแค่ไหน ผู้ที่ได้ผลประโยชน์ตั้งแต่ต้นน้ำไม่ได้ตกอยู่ที่ประเทศไทย ตรงข้ามกับ 'ยาสมุนไพรไทย'
เนื่องจากในระบบ Ecosystem ของการผลิตยาสมุนไพรไทย ประกอบด้วย
- ต้นน้ำ คือภาคการเกษตร ผู้ปลูกสมุนไพร
- กลางน้ำ คือโรงงานที่ผลิตยาสมุนไพร
- ปลายน้ำ คือโรงพยาบาลที่ใช้ยาสมุนไพร
และเมื่อดูนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ที่ผลักดันให้ สปสช. จ่ายงบประมาณแก่สมุนไพรไทย จะพบว่าในปีนี้ยังพึ่งพาการผลิตของหน่วยงานรัฐก่อน อย่างไรก็ตามด้วยศักยภาพของหน่วยงานรัฐอาจไม่เพียงพอ หากมีการขยายงบประมาณตามแผนของกระทรวงสธ. ที่จะขยายเป็น 3,000 ล้านบาทในปีต่อไป
“ ปัจจุบันมีการผลิตยาสมุนไพรไทยในโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุขทั้งหมด 80 แห่ง ซึ่งมีเพดานการผลิตอยู่ที่ 600 ล้านบาท แม้ว่าปัจจุบันจะผลิตเพียง 40-60% ของกำลังการผลิต แต่เมื่อดูเพดานการผลิตแล้ว เอกชนจะได้ประโยชน์จากส่วนที่เกินมา
สำหรับโรงงานเอกชนที่ได้มาตรฐานการผลิตระดับ GMP ปัจจุบันมีทั้งหมด 46 แห่ง ในขณะเดียวกันเอกชนที่ขายยาสมุนไพรให้กับโรงพยาบาลอยู่แล้วก็ได้ประโยชน์”
นพ.สมฤกษ์ยอมรับว่า ส่วนที่เป็นห่วงที่สุดคือ ‘ต้นน้ำ’ ได้แก่วัตถุดิบทางการผลิต โดยปัจจุบันได้มีการทำแผนคาดการณ์ว่าจะใช้วัตถุดิบใดบ้าง เพื่อสื่อสารไปยังแหล่งปลูก โดยแหล่งปลูกจะต้องมีมาตรฐานการเพาะปลูกที่ดีเพื่อเป็นยา หรือ มาตรฐาน GACP
ทั้งนี้ ในมุมมองของอธิบดีฯ ได้ตั้งเป้า 10% ของการใช้ยาทั้งประเทศ จบที่ 7,000 ล้านบาท
“ เรามีประเทศที่เราเปรียบเทียบได้ เช่น จีนและอินเดีย เกาหลีคือถัดมา ทั้งสามที่มีศาสตร์การแพทย์ของตนเอง เหมือนกับที่ประเทศไทยมีแพทย์แผนไทย แต่ในประเทศเขาสามารถใช้ศาสตร์การแพทย์ของตนในระบบบริการได้ถึง 20-30%"
อธิบดีกรมแพทย์แผนไทยฉายภาพ ตั้งเป้าใช้ยาสมุนไพรไทยในระบบการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบัน โดยมองไว้ที่ 10% ของการใช้ยา
“ สถานการณ์ในขณะนี้ ตัวเลขจากสภาพัฒน์ประเมินว่าประเทศไทยมีการใช้ยาสมุนไพรอยู่ที่ 2-3% ซึ่งเราตั้งเป้าไว้ที่ 10% เมื่อดูตัวเลขไว้เราใช้ยาทั้งระบบในรพ.รัฐอยู่ที่ 70,000 ล้านบาท หากคิดที่ 10% ก็คือ 7,000 ล้าน ซึ่งถ้าปีหน้าสามารถทำได้ 3,000 ล้าน ก็คิดว่าด้วยโมเมนตัมนี้น่าจะถึง 7,000 ล้านในปี 2570”
พาฉายภาพเช่นนี้แล้ว คงเห็นแล้วว่านโยบาย 'เศรษฐกิจสุขภาพ' กำลังเดินหน้าต่อไปอย่างไร ท่ามกลางความกังวลเรื่องความปลอดภัยด้านการใช้ยา หากจะผลักดันนโยบายเพื่อให้เกิดผลประโยชน์เศรษฐกิจสุขภาพอย่างแท้จริง ก็คงจะเป็นการบ้านที่ทางกระทรวงต้องทำงานหนัก เพื่อตอบข้อสงสัยของประชาชน 'เพราะสุขภาพคือผลประโยชน์ของประชาชนทุกคน'