posttoday
สรรเพชญ เสนอรัฐบาลดัน หาดใหญ่ ศูนย์กลางการเงิน แก้ระเบียบให้ SMEs เข้าถึงทุน

สรรเพชญ เสนอรัฐบาลดัน หาดใหญ่ ศูนย์กลางการเงิน แก้ระเบียบให้ SMEs เข้าถึงทุน

22 กุมภาพันธ์ 2567

สรรเพชญ เสนอรัฐบาลดัน หาดใหญ่ ศูนย์กลางการเงิน ภูมิภาค เทียบชั้น สิงคโปร์-ฮ่องกง ชี้ ทำสำเร็จ ดันภาคใต้พัฒนาก้าวกระโดด ย้ำ หาดใหญ่ รายล้อมระบบเศรษฐกิจหลากหลาย อยู่ในศูนย์กลางเศรษฐกิจ3ฝ่าย ไทย อินโด มาเลเซีย วอน ฝ่ายบริหาร แก้ระเบียบ ดึงนักลงทุน ให้SME เข้าถึงแหล่งทุนง่าย

KEY

POINTS

วันที่22ก.พ. นายสรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันว่า ภาคธุรกิจกำลังกลับมาฟื้นตัวอย่างช้าๆ หลังซบเซามานานหลายปีจากวิกฤตโควิด-19 และปัญหาเรื้อรังของภาคธุรกิจ กลุ่ม SMEs จำนวนมาก คือ การเข้าถึงแหล่งทุนทั้งทุนหมุนเวียนระยะสั้น และระยะยาว เพื่อเสริมสภาพคล่อง เพิ่มทุน ฟื้นกิจการ รวมทั้งเริ่มต้นกิจการ จึงเห็นโอกาสในการยกระดับเมือง “หาดใหญ่ สู่ ศูนย์กลางการเงิน” แห่งใหม่ของภูมิภาค

การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ราคาถูก ทั้งเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นและเงินทุนระยะยาว มันเป็นปัญหามายาวนาน และกลายเป็นข้อจำกัด โดยเฉพาะกับกลุ่ม SMEs และ Start Up ต้องยอมรับว่าการเริ่มต้นนับหนึ่งทางธุรกิจมันไม่ง่ายในภาวะปัจจุบัน จึงคิดต่อว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร มันก็มีหลายข้อเสนอ หลายแนวทาง คิดว่าข้อเสนอให้ยกระดับหาดใหญ่ เป็นศูนย์กลางการเงินแห่งใหม่เทียบเท่าสิงคโปร์ หรือฮ่องกงนั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทาย เพราะหาดใหญ่ ถือเป็นเมืองเศรษฐกิจที่มีต้นทุนสูง หากผลักดันให้สำเร็จมันจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ภาคใต้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด
 

นายสรรเพชญกล่าวว่า พลวัตของหาดใหญ่ช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่า เมืองเติบโตมาจากการค้า การลงทุน จนส่งผลให้หาดใหญ่เป็นเมืองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของภาคใต้ ประกอบกับทำเลที่ตั้ง เป็นความได้เปรียบเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ตั้งอยู่บนรอยต่อระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งยังเป็นเมืองด่านชายแดน ที่มีมูลค่าการค้าเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ โดยการค้าชายแดนไทย - มาเลเซีย ในปี 2565 มีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 31.76 ของมูลค่าการค้าชายแดนทั้งหมดของไทย ส่วนใหญ่ผ่านด่านศุลกากรสะเดา และปาดังเบซาร์ นอกจากนี้ เศรษฐกิจหาดใหญ่ พื้นที่โดยรอบ ยังขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยว จะเห็นว่าปี 2565 มีนักท่องเที่ยวมาเลเซียมาเยือนไทยกว่า 2.9 ล้านคน คิดเป็นอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด

นอกจากนี้ หาดใหญ่ ยังเป็นศูนย์กลางการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ในปัจจุบัน ที่รายล้อมไปด้วยระบบเศรษฐกิจที่หลากหลายรูปแบบ มากไปกว่านั้น หาดใหญ่ยังตั้งอยู่ในเขตการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย คือ อินโดนีเซีย – มาเลเซีย – ไทย (Indonesia – Malaysia – Thailand Growth Triangle: IMT - GT) โดยในปี 2565 มีมูลค่าการค้ารวมกว่า 727 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว 2.58 แสนล้านบาท) รวมทั้ง IMT – GT ยังประกอบด้วยแผนงานการลงทุน Megaproject ในอนาคตที่สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ ให้กับพื้นที่ภาคใต้อีกหลายโครงการ เช่น โครงการมอเตอร์เวย์หาดใหญ่ – สะเดา โครงการ Land Bridge ชุมพร – ระนอง เป็นต้น

นายสรรเพชรกล่าวอีกว่า เป็นไปได้หากจะผลักดันหาดใหญ่ ให้เทียบเท่าสิงคโปร์ หรือฮ่องกง อยากให้ดูความได้เปรียบ เทียบจากต้นทุนที่เรามีซึ่งหาจากเมืองอื่นไม่ได้ นึกภาพ เมื่อไปสิงคโปร์ ฮ่องกง ตัวเลือกเราแทบจะน้อยสำหรับการท่องเที่ยว และพักผ่อน แต่หาดใหญ่ มองซ้าย มองขวา ขนาบข้างด้วยอันดามันและอ่าวไทย มีเขตอารยธรรม3จังหวัด ขึ้นเหนือ มีอารยธรรมศรีวิชัย มีแหล่งท่องเที่ยวทางอารยธรรม และธรรมชาติอยู่รอบๆ 360 องศา ตรงนี้คือ ความได้เปรียบ มากไปกว่านั้น หากดูแนวโน้มการพัฒนาในภูมิภาค จะเห็นว่า หาดใหญ่เป็นศูนย์กลางของเขตการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เป็นเมืองการค้าชายแดนที่มีมูลค่าการค้ากว่าปีละหลายแสนล้านบาท ในปี 2565 มีมูลค่าการค้ากับมาเลเซียราว 3 แสนล้านบาท หรือเกือบ 1 ใน 3 ของการค้าชายแดนของไทย กับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด โดยผ่านทางด่านศุลกากรสะเดา และปาดังเบซาร์เป็นส่วนใหญ่ 

นอกจากนี้ หาดใหญ่ และพื้นที่โดยรอบ ยังถือเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวมาเลเซียอีกจำนวนมาก ในปี 2565 มีจำนวนกว่า 2.9 ล้านคน คิดเป็นอันดับหนึ่งของต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในไทย ซึ่งในแต่ละเทศกาล กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียสร้างเงินสะพัดกว่า 1 พันล้านบาท ที่สำคัญ ต้องไม่ลืมว่า หาดใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตการพัฒนาเศรษฐกิจสามฝ่าย คือ  อินโดนิเซีย มาเลเซีย และไทย ซึ่งมีมูลค่าการค้ารวมกว่า 2.5 แสนล้านบาท ในปี 2565 และยังมีแผนงานลงทุน Megaproject  อีกจำนวนมากในอนาคต เช่น มอเตอร์เวย์หาดใหญ่-สะเดา หรือ Land Bridge ชุมพร-ระนอง ตัวอย่างที่ยกไปทั้งหมด เพื่อจะบอกว่า ทำไมหาดใหญ่จึงเหมาะสม สำหรับเป็นศูนย์กลางการเงินแห่งใหม่ในภูมิภาค และนี่มันเป็นความได้เปรียบ เป็นต้นทุนที่เรามี

สำหรับการผลักดันหาดใหญ่ สู่เมืองศูนย์กลางการเงินแห่งใหม่ของภูมิภาค จำเป็นต้องมี 3 พร้อมคือ สภาพแวดล้อมพร้อม โครงสร้างพื้นฐานพร้อม และบุคลากรพร้อม ขณะเดียวกัน ยังเห็นถึงความจำเป็นที่หน่วยงานภาครัฐอย่างสภาพัฒน์ฯ และแบงค์ชาติ จะเข้ามาร่วมผลักดันในเรื่องนี้ หาดใหญ่ มีความพร้อมเป็นทุนเดิม หากต้องพัฒนาต่อยอด ภาคเอกชนพร้อมจะลงทุน เมื่อคิดอย่างรอบด้าน หาดใหญ่จึงเป็นเมืองที่มีความพร้อมในทุกมิติ ยังคงขาดแต่นโยบายผลักดันที่เอาจริงเอาจังเท่านั้น หากฝ่ายบริหารเอาด้วย การแก้ไขกฎหมาย ระเบียบต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนก็คงไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อทุนมากองอยู่ที่หาดใหญ่ มันจะทำให้ธุรกิจน้อยใหญ่ กลุ่ม SMEs มีแหล่งเงินทุนที่เข้าถึงง่าย ส่งผลให้เศรษฐกิจในภูมิภาคเกิดการพัฒนา และขยายตัวตามไปด้วย เชื่อว่าศูนย์กลางการเงินนี้ มันจะนำไปสู่การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ทางการเงินในอนาคต จะสามารถสร้างมูลค่าให้กับระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล อยากฝากให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ด้านการเงินอย่างสภาพัฒน์ฯ และธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาร่วมผลักดัน ศึกษาแนวทางในเรื่องนี้ด้วย

Thailand Web Stat