BUZZEBEES เผย 8 เทรนด์ ปี 68 เทคโนโลยี AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน
ปี 2568 ถือเป็นปีที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ความหลากหลาย และความยั่งยืน กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจทั่วโลก ณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด หรือ BUZZEBEES ผู้นำด้าน Digital Engagement และ Loyalty Platform ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเทรนด์ที่น่าจับตามองเหล่านี้ ว่า เทคโนโลยี AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานในหลากหลายอุตสาหกรรม
เราเห็น AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดต้นทุน และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นในด้านการตลาด การเงิน หรือแม้แต่การผลิต" ตัวอย่างเช่น บริษัท Netflix ใช้ AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ชมเพื่อแนะนำคอนเทนต์ที่ตรงใจ ทำให้ผู้ชมติดงอมแงม
องค์กร หรือ สตาร์ทอัพ ที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ และความคิดเห็น จะสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทีมงานที่หลากหลายจะนำมาซึ่งมุมมองที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดไอเดียใหม่ๆ และเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
นอกจาก AI และความหลากหลายแล้ว ความยั่งยืนก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญ โดยผู้บริโภคในปัจจุบันได้ให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้น ธุรกิจจึงต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ โดยณัฐธิดา ได้รวบรวม 8 เทรนด์สำคัญ พร้อมยกตัวอย่างประกอบเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนและสามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้ได้ง่ายขึ้น ดังนี้
การอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI
ปี 2568 จะเป็นปีที่มนุษย์และ AI ทำงานร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ใช่เพื่อทดแทน แต่เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ หลังจากใช้งาน AI มาสักระยะหนึ่ง บริษัทต่าง ๆ เริ่มตระหนักถึงความสามารถที่แท้จริงของ AI พร้อมกับความคาดหวังที่เป็นจริงต่อ Generative AI ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการปรับตัวที่องค์กรจะออกแบบกระบวนการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI ให้มากขึ้น ประสิทธิภาพที่แท้จริงจะเริ่มปรากฏในขั้นตอนนี้
• กระบวนการทำงานจะถูกแบ่งเป็นส่วนย่อย ๆ โดย AI จะเข้ามาช่วยทำงานในขั้นตอนเล็ก ๆ และเชื่อมต่อกับการตัดสินใจของมนุษย์ตลอดกระบวนการทำงาน สิ่งนี้จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและลดความซับซ้อน
• ตัวอย่างเช่น เครื่องมือ AI ของ Adobe ช่วยให้ Graphic Designer ทำงานได้เร็วขึ้น ด้วย AI ฟังก์ชั่นที่ใช้ซ่อมภาพให้ใหญ่ขึ้น หรือใหม่ล่าสุด ปรับขนาดภาพอัตโนมัติ ในขณะที่ยังคงรักษาต้องการมนุษย์เพื่อสั่งงานฟังก์ชั่นเหล่านั้น
Hyper-Personalization ที่มาพร้อม AI
Hyper-Personalization หมายถึงการสร้างประสบการณ์ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่ปรับแต่งให้สอดคล้องกับความต้องการและพฤติกรรมเฉพาะบุคคลในระดับที่ Mass มากขึ้น ด้วยเทคโนโลยี AI การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) และ IoT ทำให้แบรนด์สามารถตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าได้แบบเรียลไทม์
• ตัวอย่างเช่น Netflix ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลการรับชมของผู้ใช้ เพื่อแนะนำคอนเทนต์ที่เหมาะสมกับความสนใจเฉพาะบุคคล ส่งผลให้ผู้ใช้กว่า 80% รับชมผ่านคำแนะนำนี้ ซึ่งช่วยเพิ่มความพึงพอใจและความภักดีต่อแบรนด์
• อีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือ Starbucks ซึ่งใช้แอปพลิเคชันมือถือเพื่อส่งข้อเสนอและรางวัลที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคล เช่น การแนะนำเครื่องดื่มตามพฤติกรรมการสั่งซื้อและสถานที่ที่ลูกค้าใช้งานบ่อย การใช้กลยุทธ์นี้ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำบ่อยขึ้นและใช้จ่ายมากขึ้นต่อครั้ง Hyper-Personalization จึงไม่เพียงช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเร่งเป้าหมายลดคาร์บอน
แรงผลักดันในการบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนเกิดจากนโยบายภาครัฐ แรงกดดันจากนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental Social and Governance) และความต้องการของตลาดผู้บริโภคที่ตื่นตัวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม บริษัทต่าง ๆ จึงต้องเร่งใช้นวัตกรรมเพื่อก้าวสู่ความยั่งยืนผ่านการใช้พลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บคาร์บอน และกระบวนการผลิตที่สะอาด
แล้วอะไรเป็นเหตุผลที่บริษัทต้องลดการปล่อยคาร์บอน
1. เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero) หลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ได้ตั้งเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593-2608 บริษัทที่ไม่ปรับตัวจะถูกกีดกันออกจากการค้าระดับโลก
2. กฎระเบียบใหม่จากภาครัฐและองค์กรระหว่างประเทศ นโยบายภาษีคาร์บอน เช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ในสหภาพยุโรปจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยหากไม่ลดการปล่อยคาร์บอน
3. แรงกดดันจากนักลงทุน นักลงทุนในปัจจุบันให้ความสำคัญกับ ESG หากธุรกิจไม่ลดการปล่อยคาร์บอนจะสูญเสียโอกาสการลงทุน
4. ความต้องการจากผู้บริโภค ผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเลือกสนับสนุนผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่ยั่งยืน
• ตัวอย่างเช่น SCG ได้นำเทคโนโลยี Carbon Capture and Storage (CCS) มาใช้ในโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ ซึ่งช่วยดักจับคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิตและนำไปกักเก็บหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นนอกจากนี้ SCG ยังพัฒนาปูนซีเมนต์ “Green Cement” ซึ่งลดการปล่อยคาร์บอนลงถึง 20% โดยเปลี่ยนวัตถุดิบและปรับปรุงกระบวนการผลิต โดย SCG วางแผนลดการปล่อยคาร์บอนให้ได้ 20-25%
ความสัมพันธ์ระหว่างราคาและประสิทธิภาพ
ในปี 2568 การพัฒนาประสิทธิภาพของเทคโนโลยีจะไม่ได้มาพร้อมกับการลดต้นทุนอย่างตรงไปตรงมาอีกต่อไป เพราะความซับซ้อนและความต้องการในการประมวลผลเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ AI ชิปประมวลผล และพลังงาน การแข่งขันจะขึ้นอยู่กับ “ประสิทธิภาพต่อราคา (Price-to-Performance)” มากกว่าเพียงแค่ต้นทุน โดยการเพิ่มประสิทธิภาพของเทคโนโลยีเริ่มเจอ จุดอิ่มตัว เพราะแม้จะเพิ่มกำลังประมวลผล แต่ต้นทุนการผลิตและพลังงานที่ใช้กลับสูงขึ้น ทำให้ความคุ้มค่าลดลง ส่งผลให้องค์กรต้องหันไปหาเทคโนโลยีเสริม เช่น Edge Computing การแบ่งงานประมวลผลไปยังระบบคลาวด์ และการออกแบบชิปเฉพาะทาง (Custom Chips)
• ตัวอย่างเช่น GPU ของ Nvidia กับความคุ้มค่าในการประมวลผล AI ความต้องการ GPU สำหรับการฝึกฝนโมเดล AI ขนาดใหญ่ เช่น GPT-4 ทำให้ราคาของ Nvidia GPUs อย่าง H100 พุ่งสูงขึ้น แม้ว่า GPU จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นในแต่ละรุ่น แต่การลงทุนฮาร์ดแวร์ระดับนี้ต้องใช้ทรัพยากรพลังงานจำนวนมาก และต้นทุนไม่ลดลงตามสัดส่วนของประสิทธิภาพ
ดังนั้น บริษัทขนาดเล็กที่ต้องการใช้ AI ต้องพึ่งพา AI-as-a-Service ผ่านผู้ให้บริการคลาวด์ เช่.น AWS Google Cloud และ Microsoft Azure เพื่อหลีกเลี่ยงการลงทุนมหาศาล
กฎระเบียบ AI และตรวจสอบ AI
ในปี 2568 การใช้งาน AI อย่างมีจริยธรรมจะกลายเป็นหัวข้อสำคัญ สำหรับทั้งองค์กรและรัฐบาล การสร้างระบบที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเชื่อถือได้เป็นสิ่งจำเป็น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความลำเอียงของ AI และการละเมิดความเป็นส่วนตัว และผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจจากการใช้ AI
• ตัวอย่างเช่น จีนได้ออกกฎระเบียบควบคุมเทคโนโลยี Deepfake โดยกำหนดให้บริษัทที่พัฒนา AI ต้องติดป้ายกำกับ (Label) เนื้อหาที่สร้างโดย AI เพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลเท็จและสร้างความเข้าใจผิด นอกจากนี้ จีนยังบังคับให้แพลตฟอร์ม Generative AI ต้องได้รับการอนุมัติก่อนเปิดใช้งานอีกด้วย
พนักงานไร้ฝีมืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงตกงาน
AI จะเข้ามาแทนที่งานในระดับเริ่มต้น ทำให้องค์กรต้องให้ความสำคัญกับการยกระดับทักษะของพนักงานรุ่นใหม่ โดยบริษัทข้ามชาติหลายแห่งกำลังลงทุนในการอบรมทักษะ AI ให้พนักงานฟรี เพื่อให้พวกเขาสามารถปรับตัวได้ แต่ปัญหานี้ น่าจะเป็นปัญหาระดับโลกในระยะยาว ซึ่งต้องมีการเตรียมรับมือ สำหรับผู้มองเห็นสิ่งนี้เป็นโอกาสทางธุรกิจ ก็เตรียมลุยโมเดลใหม่กันได้เลย
ระบบธุรกรรม AI
ธุรกรรมทางการเงินที่ขับเคลื่อนด้วย AI กำลังเข้ามาแทนที่ระบบการเงินแบบดั้งเดิม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และลดความผิดพลาดในกระบวนการทางการเงิน ตั้งแต่การอนุมัติสินเชื่อ การชำระเงิน ไปจนถึงการตรวจสอบธุรกรรมในระดับที่แม่นยำ
• ตัวอย่างเช่น PayPal ใช้ระบบ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมจากผู้ใช้ทั่วโลก ช่วยประเมินความเสี่ยงในเวลาสั้นที่สุด AI ช่วยลดปัญหาการชำระเงินล่าช้าและช่วยให้ PayPal ขยายบริการด้านสินเชื่อ (PayPal Credit)
• ตัวอย่างเช่น BUZZEBEES ใช้ AI ในระบบ Decision Intelligence เพื่อตรวจสอบธุรกรรมที่อาจเป็นการทุจริตโดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลจากพฤติกรรมการใช้จ่าย การปฏิเสธธุรกรรมผิดพลาดลดลงถึง 40% และช่วยรักษาความไว้วางใจจากลูกค้า
ความหลากหลายเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโต
ทีมที่มีความหลากหลายในด้านเพศ เชื้อชาติ ความคิด และพื้นเพ มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน ธุรกิจที่สนับสนุนความหลากหลายไม่เพียงแต่สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งขึ้น แต่ยังเพิ่มโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
• ตัวอย่างเช่น Salesforce ได้ลงทุนในโครงการ Equality Programs ที่เน้นการเพิ่มจำนวนพนักงานหญิงและคนกลุ่มน้อยในระดับบริหาร โดยสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ทุกคนมีส่วนร่วม ซึ่งช่วยเพิ่มความพึงพอใจของพนักงานและผลักดันนวัตกรรมในผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น CRM Solution ที่ตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายได้ดียิ่งขึ้น
คำถามกลยุทธ์ อย่าหยุดตั้งคำถาม ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การตามเทรนด์อย่างไม่ลืมหูลืมตาไม่ได้การันตีความสำเร็จ ธุรกิจต้องพร้อมที่จะปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมตั้งคำถามกับสถานการณ์และแผนการเดิมอยู่เสมอ การตั้งคำถามช่วยให้มองเห็นโอกาสใหม่ ปรับตัวต่อความท้าทาย และก้าวนำหน้าในอุตสาหกรรม
การตั้งคำถามและการปรับตัวเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความสำเร็จในปี 2568 เทรนด์ที่เกิดขึ้นในปีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่หยุดนิ่งของเทคโนโลยีและความซับซ้อนในพฤติกรรมของตลาด ผู้ที่สามารถตั้งคำถามกับกลยุทธ์เดิม และสร้างเส้นทางใหม่ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป จะเป็นผู้ที่ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง