ตลาดธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงไทยโต คาดปี'68 มูลค่าถึง 4.6 หมื่นล้าน

18 มีนาคม 2568

คนนิยมเลี้ยงสัตว์แทนลูก ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงไทยโต คาดปี 2568 มูลค่าถึง 4.6 หมื่นล้าน ขณะที่การส่งออกเผชิญความท้าทาย ตลาดหลักต้องแข่งกับเม็กซิโก-เกาหลีใต้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานแนวโน้มตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศ ปี 2568 คาดว่า ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงอยู่ที่ประมาณ 3.98 แสนตัน ขยายตัว 6% จากปีก่อน ตามจำนวนสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น

 

จำนวนสัตว์เลี้ยงของไทยยังมีแนวโน้มเติบโต โดยในปี 2568 คาดว่า สัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของมีอยู่ราว  5.38 ล้านตัว เพิ่มขึ้นราว 6% แบ่งเป็นสุนัข 3.45 ล้านตัว แมว 1.94 ล้านตัว ส่งผลให้ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงกว่า 76% จะอยู่ในกลุ่มอาหารสุนัข


แต่ในอนาคต คาดว่า สัดส่วนยอดขายอาหารแมวน่าจะเพิ่มขึ้น จากความนิยมเลี้ยงแมวที่มีมากขึ้น สะท้อนได้จาก ในช่วงปี 2564-2567 จำนวนแมวที่เลี้ยงโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 28% ต่อปี เทียบกับอัตราการเติบโตของสุนัขเลี้ยงที่ 19% ต่อปี

 

กรุงเทพฯ ปริมณฑล พื้นที่ศักยภาพตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง

 

พื้นที่ศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นพื้นที่ศักยภาพของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง เนื่องจากมีจำนวนสัตว์เลี้ยงมากที่สุดและผู้เลี้ยงมีกำลังซื้อ 

 

โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีสัตว์เลี้ยงอยู่ราว 3.1 แสนตัว คิดเป็น 6% ของจำนวนสัตว์เลี้ยงทั้งหมด และมีรายได้เฉลี่ยที่ 35,901 บาท/เดือน ซึ่งสูงกว่ารายได้เฉลี่ยของคนทั้งประเทศที่ 29,030 บาท/เดือน
 
 

ดังนั้น ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศจะอยู่ที่ 46,000 ล้านบาท ในปี 2568 ขยายตัว 12% จากปีก่อน และกำไรของธุรกิจคาดว่าจะยังคงเพิ่มขึ้น สอดคล้องไปกับยอดขายที่โตต่อเนื่อง

 

หลายธุรกิจสนใจลงทุนในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง
        
ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศแข่งขันรุนแรง จากจำนวนผู้เล่นในประเทศที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมีการนำอาหารสัตว์เลี้ยงนำเข้ามาแข่งขันมากขึ้นด้วย


ในปี 2567 ผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมีอยู่ 317 ราย โดยมีจำนวนนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น 36 ราย

 

ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงแล้ว ยังมีผู้ประกอบการนอกธุรกิจอื่นๆ อาทิ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนท์  ธุรกิจค้าปลีกสินค้าไอที ฯลฯ ที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นด้วย
 

 

นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันกับอาหารสัตว์เลี้ยงนำเข้ามากขึ้น สะท้อนจาก อัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ของมูลค่าการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยปี 2562-2567 อยู่ที่ 17% ต่อปี โดยเฉพาะการนำเข้าจากจีน ที่เป็นอันดับ 1 และมีสัดส่วนราว 40%

 

การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย
 
การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยยังโตโดดเด่น ตามความนิยมเลี้ยงสัตว์ทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อและจำนวนสัตว์เลี้ยงมาก 

 

ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยโต มาจากพฤติกรรมนิยมเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ทั้งจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นและสภาพสังคมที่มีขนาดครอบครัวเล็กลง 

 

อย่างเช่น สหรัฐฯ รายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากรสูงราว 85,373 เหรียญสหรัฐฯ อีกทั้งยังมีจำนวนสัตว์เลี้ยงในประเทศสูงถึง 144 ล้านตัว สะท้อนถึงมีกำลังซื้อที่พร้อมจะจ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยง

 

ญี่ปุ่น มีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป อยู่เกือบ 30% ของจำนวนประชากรทั้งหมด โดยผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพังมักเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน

 

ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ นิยมเลี้ยงสัตว์มากขึ้นเพื่อเติมเต็มความสุข โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมมีบุตรช้าหรือไม่แต่งงาน
        

นอกจากนี้ ในปี 2562-2567 อัตราการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงโลกเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 12.7% ต่อปี โดยตลาดที่มีอัตราการเติบโตของมูลค่าการนำเข้าเพิ่มและสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ส่วนใหญ่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ และอาเซียน สะท้อนถึงโอกาสของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง

 

ปี 2568 คาดว่า ไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงราว 3,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 15% ชะลอลงจากปีก่อนที่ขยายตัว 28.4% 


คาดว่าเป็นผลมาจากความต้องการของตลาดหลัก อาทิ สหรัฐฯ อิตาลี ญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันกว่า 50% โตช้าลง 

 

อย่างไรก็ดี ยังมีตลาดที่มีศักยภาพอื่นๆ เช่น อังกฤษ ที่จำนวนสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นมากกว่า 3.2 ล้านตัว หลังช่วงโควิด-19 หรือนิวซีแลนด์ จากผลข้อตกลงทางการค้า FTA ไทย-นิวซีแลนด์ ที่ทำให้มีการยกเว้นภาษีนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยง จึงทำให้ยอดการส่งออกไปยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

 

ไทยแข่งกับเม็กซิโก-เกาหลีใต้ ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง

 

การแข่งขันในตลาดส่งออกยังคงมีแนวโน้มรุนแรง โดยเฉพาะกับคู่แข่งที่ได้เปรียบด้านราคาและระยะขนส่งที่ใกล้กับตลาดคู่ค้าสำคัญ ไทยเจอการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในตลาดคู่ค้าหลัก เช่น

 

สหรัฐฯ ไทยต้องเจอคู่แข่งที่สำคัญอย่าง เม็กซิโก ที่มีข้อได้เปรียบในเรื่องระยะขนส่งที่ใกล้ หรือ ญี่ปุ่น ที่ไทยต้องแข่งกับเกาหลีใต้ ซึ่งได้เปรียบด้านราคา สะท้อนได้จากส่วนแบ่งตลาดของเกาหลีใต้ที่ส่งไปญี่ปุ่นปี 2567 เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจากปี 2564

 

ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงไทย

 

ต้นทุนการผลิตยังคงผันผวน โดยเฉพาะวัตถุดิบ อาทิ ปลาทูน่า ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 60% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น จากสภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้ผลผลิตลดลง

 

มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงมาตรการทางการค้าอื่นๆ ส่งผลกระทบกับการส่งออกของไทย ไม่ว่าจะเป็น มาตรการ Farm to Fork ที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยคาร์บอน และการตรวจสอบย้อนกลับ

 

รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้า เช่น มาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป ที่อาจขยายขอบเขตมายังภาคเกษตรและอาหารในการเลือกใช้วัตถุดิบที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือต้องเป็นไปตามแนวทางการทำธุรกิจแบบยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน (อาทิ ปลาป่น กากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์)

 

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการ Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ ด้วย 

Thailand Web Stat