ร้องนายกฯทบทวนคำสั่งปิดสถานดูแลผู้สูงอายุ
สมาคมส่งเสริมธุรกิจบริการผู้สูงอายุร้องนายกฯขอให้ทบทวนคำสั่งปิดสถานที่ชั่วคราวเหตักระทบต่อการดูแลผู้สูงและผู้มีภาวะพึ่งพิงอายุกว่า 2 หมื่นราย ระบุในไทยได้มาตรฐานยังไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากสถานประกอบการ
นพ.ฆนัท ครุธกูล นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจบริการผู้สูงอายุไทย ได้ทำหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอให้ทบทวนคำสั่งปิดสถานที่ชั่วคราว (สถานดูแลผู้สูงอายุ) โดยระบุว่า ตามมาตรการการป้องกัน COVID-19 สำหรับสถานดูแลผู้สูงอายุของสมาคมฯ ตามราชกิจจานุเบกษา วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เรื่อง ข้อกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 5 หน้า 3 ข้อ 6 เรื่อง การให้ปิดสถานที่ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการแพร่โรค COVID-19 โดยมีสถานดูแลผู้สูงอายุรวมอยู่ด้วยนั้น ทางสมาคมฯ ซึ่งเป็นสมาคมที่มีการรวมตัวกันของสถานประกอบการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง จำนวนกว่า 240 สถานประกอบการ และยังมีสถานดูแลผู้สูงอายุทั่วประเทศไทยอีกกว่า 2,000 แห่ง
จากคำสั่งดังกล่าว ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อสถานดูแลผู้สูงอายุ กลุ่มผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง รวมทั้งกระทบต่อระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ซึ่งสรุปได้ดังนี้ 1.ปัจจุบันมีผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงพำนักอยู่ในสถานดูแลผู้สูงอายุทั่วประเทศ โดยประมาณ 22,400 ราย แบ่งเป็นผู้สูงอายุติดเตียงจำนวน 13,624 ราย 2.สถานดูแลผู้สูงอายุที่เป็นสมาชิกของสมาคม ฯ จำนวน 240 แห่ง มีผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง พำนักอยู่ มากกว่า 5,600 ราย 3.ผู้สูงอายุที่พักอาศัยอยู่ในสถานดูแลผู้สูงอายุ มีอายุระหว่าง 60 -100 ปี และมีภาวะความ เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังที่ต้องได้รับการดูแลต่อเนื่อง เช่น โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความ ดันโลหิตสูง โรคไตวาย ไตเสื่อม โรคหลอดเลือดสมองตีบ แตก มีภาวะอัมพฤกษ อัมพาต สมอง เสื่อม มะเร็งชนิดต่างๆ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง เป็นต้น
4.ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ มีความต้องการการดูแลที่ซับซ้อน ติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และเป็นบุคคลที่มีความเปราะบางต่อภาวะติดเชื้อได้ง่าย ต้องการการดูแลที่จำเพาะเช่น จำเป็นต้องได้รับอาหารทางสายยาง,เจาะคอเพื่อระบายเสมหะ, จำเป็นต้องดูดเสมหะ (Suction),คาสายสวนปัสสาวะ ,การดูแลแผลต่าง ๆ จากการเจาะคอ แผลหน้าท้อง การดูแลถุงเก็บอุจจาระหน้าท้อง (Colostomy Bag) ,การใส่สายอาหารทางหน้าท้อง (Gastrostomy) 5.มีกลุ่มผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงที่ถูกทอดทิ้งและยากไร้ทที่างสถานดูแลผู้สูงอายุของสมาคมฯ รับอุปการะดูแลอยู่โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งการดูแลผู้สูงอายุดังกล่าว มีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลโดยใช้ทักษะเฉพาะทางจากทีมสหวิชาชีพ ทางการแพทย์และและการพยาบาล ผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีประสบการณ์และผ่านการฝึกอบรมการดูแลผู้สูงอายุ
หากมีการสั่งปิดสถานดูแลผู้สูงอายุ จะทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง ต่อทั้งผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงเหล่านั้นที่จะขาด ผู้ดูแลที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการดูแล อีกทั้งประกอบกับญาติของผู้สูงอายุเองไม่มีทักษะหรือ ความชำนาญมากเพียงพอที่จะดำเนินการดูแลดังที่กล่าวข้างต้นได้ และสถานที่ในการส่งต่อผู้สูงอายุที่จะต้อง รองรับผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากพร้อม ๆ กัน ซึ่งมีเตียงในโรงพยาบาลไม่เพียงพอในปัจจุบัน อีกทั้งความเสี่ยงต่อการ ติดเชื้อโรค COVID-19 ในโรงพยาบาล การติดเชื้อดื้อยาต่าง ๆ และภาวะแทรกซ้อนจากโรงพยาบาล ประกอบกับ การขาดความพร้อมของญาติในเรื่องการเตรียมสถานที่ดูแลผู้สูงอายุ อุปกรณ์ทางการแพทย์ในการดูแลผู้สูงอายุ และการขาดทักษะในการดูแลผู้สูงอายุของญาติในส่วนสถานดูแลผู้สูงอายุซึ่งเป็นภาคธุรกิจบริการจะได้รับผลกระทบที่ต้องปิดกิจการ ขาดรายได้ พนักงานตกงาน ต่อมาโดยลำดับ
จากประสบการณ์ที่ในช่วงเวลาที่มีการระบาดของ COVID-19 ที่ผ่านมา สถานดูแลผู้สูงอายุทั้งที่เป็น สมาชิกของสมาคมและไม่ใช่สมาชิกสมาคม ไม่พบผู้ติดเชื้อ COVID19 แม้แต่แห่งเดียวในประเทศไทย ในส่วน สมาคมฯ ได้มีการออกมาตรการเรื่องการป้องกัน COVID-19 สำหรับสถานดูแลผู้สูงอายุตั้งแต่ปลายเดือน กุมภาพันธ์ 2563 จนถึง 31 พฤษภาคม 2563โดยประกาศมาตรการต่างๆให้ผู้ประกอบการทั่วประเทศได้รับทราบ และยึดเป็นแนวปฏิบัติโดยพร้อมเพียงกัน เช่น การปิดสถานดูแลผู้สูงอายุไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาภายในสถาน ดูแลผู้สูงอายุ แจ้งการงดเยี่ยมของญาติ การจำกัดการเข้าออกของพนักงานโดยจัดที่พักให้ และมาตรการต่าง ๆ ตามเอกสารแนบ ทั้งนี้โดยคำนึงถึงความปลอดภัยต่อผู้สูงอายุเป็นสำคัญ และจากที่ผ่านมาไม่พบการติดเชื้อใน สถานดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย ซึ่งสามารถยืนยันและเป็นที่ประจักษ์ได้อย่างชัดเจนว่า สถานดูแลผู้สูงอายุใน ประเทศไทยมีศักยภาพและความพร้อมในการรับมือเพื่อป้องกัน COVID-19 ได้ โดยความร่วมมือของ ผู้ประกอบการทุกแห่งได้ปฎิบัติตามมาตรการที่สมาคมฯได้กำหนดขึ้นจนประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพในระดับที่น่าพอใจเมื่อเปรียบเทียบกับสถานดูแลผู้สูงอายุในต่างประเทศ
หนังสือระบุว่า ในขณะที่สถานดูแลผู้สูงอายุในต่างประเทศ มีการรายงานการติดเชื้อและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงขอความกรุณาท่านนายกรัฐมนตรี ทบทวนการสั่งปิดสถานดูแลผู้สูงอายุ เนื่องด้วยทางสมาคมฯ และผู้ประกอบการทั่วประเทศมีความพร้อมในการรับมือและป้องกันการติดเชื้อ COVID-19 โดยมีการประกาศ มาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องโดยตลอด และในส่วนของแนวทางการป้องกัน เฝ้าระวังและปฏิบัติของสถานดูแล ผู้สูงอายุได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสมาชิกและญาติผู้สูงอายุ จึงเรียนเพื่อโปรดพิจารณาและดำเนินการทบทวนคำสั่งดังกล่าว